“ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม”
— นอนเรียวกังแช่ออนเซ็นท่ามกลางหุบเขา
“Onsen at Moncham (ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม)” ที่พักสไตล์เรียวกัง ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างวิถีออนเซ็นของญี่ปุ่นและวัฒนธรรมเมืองเหนือแบบไทย รายล้อมด้วยภูเขาด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่น ณ ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร พักผ่อนหย่อนใจ แช่น้ำแร่ที่บ่อออนเซ็น เสมือนว่ากำลังดื่มด่ำอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
หลังจากไปเที่ยวญี่ปุ่นเดือนธันวาคมปีก่อน ผ่านมาไม่นานก็เริ่มคิดถึงญี่ปุ่นอีกแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่สามารถหนีเที่ยวไกลๆ เลยนึกถึง “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” เรียวกังกลางหุบเขาที่อยากไปมานานแล้ว เปิดมาหลายปียังไม่มีโอกาสได้มาพักสักที แถมเป็นญี่ปุ่นทิพย์แบบใกล้บ้านมากๆ จากตัวเมืองเชียงใหม่ขับไปทางม่อนแจ่ม ขับรถไปใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น
ทานข้าวเที่ยงในตัวเมืองเสร็จ ขับรถออกมาก็ได้เวลาเช็คอินพอดี (บ่ายสอง) มาถึงอากาศก็ค่อนข้างร้อนทีเดียว ช่วงเวลาที่ดีสุดก็น่าจะเป็นตอนหน้าหนาวซึ่งบรรยากาศดีมาก หรือหน้าฝนที่ต้นไม้จะเป็นสีเขียวไปทั้งดอย แถมเป็นช่วงโลว์ที่คนมาน้อยอีกต่างหาก แต่ว่าช่วงต้นมีนาตอนเข้าพักก็ไม่ถึงกับแย่ซะทีเดียว เห็นกลางวันอากาศร้อนเอาเรื่อง พอตกหัวค่ำนี่อุณหภูมิกลับลดต่ำไปเหลือแค่ 15 องศา ยังดีที่ในรถมีเสื้อกันหนาวพอดี ไม่อย่างนั้นคงหนาวแน่ๆ เพราะไม่คิดว่าขึ้นมาบนดอยจะต่างจากในเมืองขนาดนี้
สำหรับ “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” คิดว่าคงเคยได้รู้จักกันมาบ้างแล้ว เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ที่พักสไตล์ญีปุ่น” ในประเทศติดอันดับต้นๆ มาตลอด โดยนอกจากห้องพักเป็นแบบสไตล์เรียวกังแล้ว ยังได้แรงบันดาลใจของออนเซ็นมาจากต้นฉบับดินแดนอาทิตย์อุทัยเลย โดยตัวออนเซ็นก็อยู่บริเวณแหล่งน้ำแร่แท้ 100% ที่เป็นแหล่งเดียวกับน้ำแร่ยี่ห้อดังอีกด้วย ซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พอรู้ข้อมูลพอสังเขป ก็รู้สึกสนใจจนอยากลงไปแช่ออนเซ็นไวๆ แล้ว แต่ก่อนอื่นคงต้องเข้าไปชมห้องพักและก็รับประทานอาหารว่างกันก่อน
หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็จะแนะนำเกี่ยวกับที่พัก แล้วก็พาเดินไปยังห้องพัก โดยตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาในบริเวณรีสอร์ท จะสัมผัสได้ถึงความเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นอาคารทุกหลังรวมไปถึงสวนต่างๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เหมือนเปิดประตูวิเศษวาร์ปไปอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ
เดินชมบรรยากาศเพลินๆ เผลอนิดเดียวก็มายืนอยู่หน้าห้องพักแล้ว โดยคืนนี้จะพักแบบ “แกรนด์ ทาทามิ ออนเซ็น สวีท (Grand Tatami Onsen Suite)” ซึ่งเป็นห้องพักพึ่งเปิดเพิ่มเติมโซนใหม่ล่าสุด เหมาะสำหรับพักแบบครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเป็นกลุ่ม รวมไปถึงคู่รักที่จะมาฮันนีมูนก็จัดว่าดีไม่แพ้กัน สามารถนอนพักได้มากสุดถึง 4 คน พอเปิดประตูไม้ด้านนอกเข้ามาก็จะเป็นสวนญี่ปุ่นขนาดเล็ก พร้อมเก้าอี้พักผ่อนตรงระเบียง ภายในห้องพักก็ตามชื่อ “ทาทามิ” จะปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิแบบดั้งเดิม อารมณ์เหมือนประมาณไปนอนเรียวกังของญี่ปุ่นไม่ผิดเพี้ยน สำหรับแขกที่มาพักห้องนี้ก็จะได้นอนพื้นได้อารมณ์ญี่ปุ่นแบบฟินๆ ไปเลย ฟูกที่ปูและผ้าห่มก็นิ่มนอนสบายไม่แพ้เตียง การตกแต่งในห้องเก็บรายละเอียดแทบทุกอย่างจนแทบจะลืมไปว่าอยู่เมืองไทย
“เครื่องปรับอากาศภายในห้องพัก”
ตอนพนักงานพามาที่ห้องพัก ได้อธิบายวิธีการใช้เครื่องปรับอากาศในห้องพัก (ตัวสีดำที่ซ่อนอยู่หลังระแนงไม้อย่างเนียนๆ) นอกจากทำหน้าที่ให้ความเย็นในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ตอนหน้าหนาวก็สามารถปรับเป็นฮีตเตอร์ให้อบอุ่นด้วย (อันนี้พึ่งรู้เลยว่าบ้านเรามีแอร์แบบนี้ด้วย) ซึ่งจำเป็นมากสำหรับช่วงที่อุณหภูมิลดต่ำไปกว่า 15 องศา นอกจากนี้ ยังมี “Plasma Quad Plus” ระบบฟอกอากาศในตัว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุภาคที่มีขนาดเล็กถึง 2.5 PM เป็นทั้งแอร์คอน ฮีตเตอร์ พร้อมระบบฟอกอากาศในเครื่องเดียวแบบ “3 อิน 1”
ได้ฟังแบบนี้ก็เลยสนใจอยากได้ไปติดที่บ้าน ปนกับความอยากรู้ว่าสามารถจัดการกับอนุภาค PM 2.5 ได้อย่างที่บอกจริงรึเปล่า จึงไปหาข้อมูลเพิ่มพบว่าเป็นแอร์ “Mitsubishi รุ่น MSZ-LN09VF” ซึ่งมาพร้อมระบบ “Inverter Move Eye” — เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิและการเคลื่อนไหว หาตำแหน่งมนุษย์พร้อมส่งลมเย็นไปตัวบุคคลโดยอัตโนมัติ หรือรู้จักว่า “3D Move Eye Human Sensor” ที่เวลาเดินไปไหน ตัวเซ็นเซอร์ก็จะหมุนตามแบบเกาะติด ทำให้เย็นได้ตลอดไม่ว่าอยู่ตรงไหน — แต่ที่ต้องการในสภาพอากาศแบบนี้คงจะหนีไม่พ้น “Plasma Quad Plus” ระบบฟอกอากาศที่ติดมากับเครื่อง ข้อมูลทางเทคนิค (Specification) บอกว่ามีประสิทธิภาพช่วยในการกำจัดอนุภาค “PM 2.5” ได้จริง โดยใช้แรงดันไฟฟ้า 6,000 โวลต์ กับขั้วไฟฟ้า (Electrode) เพื่อสร้างพลาสมากำจัดอนุภาคต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย รา สารก่อภูมิแพ้ ฝุ่น และ PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปว่าเคลียร์ข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบฟอกอากาศของแอร์สำหรับ “PM 2.5” แต่ถ้าไม่เพียงพอทางพนักงานแจ้งว่ามีเครื่องฟอกอากาศให้เพิ่มเติมหากแขกที่มาพักต้องการ ว่าแล้วจึงรีบขอเครื่องฟอกมาตั้งไว้ในห้องเพิ่มเติม เพื่อให้พักผ่อนและหลับได้อย่างสบายใจยิ่งขึ้น
ห้องพักมีขนาดรวมพื้นที่ภายในห้องพักและด้านนอก 80 ตารางเมตร เป็นส่วนนั่งเล่นและพักผ่อนภายในตัว รวมถึงสามารถรับประทานอาหารได้ด้วย โดยแบ่งส่วนด้วยพื้นยกระดับเหมือนบ้านญี่ปุ่น
ส่วนสำคัญที่ชอบมากเห็นจะเป็นห้องน้ำนั่นเอง มีอ่างล้างหน้าคู่ซึ่งชอบมากไม่ต้องแย่งกันใช้ โถสุขภัณฑ์แบบญี่ปุ่นพร้อมชำระล้างแบบอัตโนมัติ เข้าไปทำธุระทีไรพาลนึกถึงตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกครั้ง ห้องอาบน้ำกว้างขวาง สามารถเลือกอาบแบบฝักบัวและฝักบัวฝนตก หรือแช่อ่างออนเซ็นภายในห้องพักแบบส่วนตัว
“ห้องแกรนด์ ทาทามิ ออนเซ็น สวีท” จะมาพร้อมกับอ่างแช่ออนเซ็น ซึ่งเพิ่มความเป็นส่วนตัว สามารถแช่ได้ภายในห้องได้ตลอดเวลา แนะนำให้เรียกแม่บ้านมาเตรียมน้ำให้ เพื่อที่จะได้แช่น้ำแร่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมตามต้องการ พร้อมกับผสมเกลือและเครื่องหอมต่างๆ ได้อย่างพอดี โดยสามารถโทรแจ้งให้มาบริการได้ตลอดทั้งวัน — แต่ไม่เกิน 22.00 น. นะครับ
ในวันที่อากาศดีหรือหากต้องการแช่ออนเซ็นบรรยากาศเย็นๆ ช่วงฤดูหนาว สามารถเปิดประตูออกไปเพื่อรับลมธรรมชาติ พร้อมชมบรรยากาศสวนญี่ปุ่นภายในห้องไปพร้อมกัน
สำหรับชุดของใช้ในห้องน้ำ (Hotel Amenities) ทางโรงแรมมีให้พร้อมทุกอย่าง ได้แก่ แปรงสีฟัน หมวกอาบน้ำ มีดโกน ครบครันจนแทบไม่ต้องเตรียมไปเอง ขาดเหลือสามารถแจ้งขอเพิ่มได้ตลอด
“Refreshment Center”
เครื่องดื่มบริการฟรีสำหรับแขกที่มาพักทุกห้อง
น้ำดื่ม
กาแฟ (แบบแคปซูล “Nespresso”)
ชาซองพร้อมชง
นมสด
ชาเขียวญี่ปุ่นกระป๋อง (Pokka)
เครื่องดื่มโซดา “Singha Yuzu Lemon Soda”
เบียร์ “Asahi”
เข้าห้องพักยังไม่ทันหายเหนื่อยก็มีพนักงานมากดออด เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องปิ่นโตที่ห่อผ้ามาอย่างดี อารมณ์ประมาณที่เห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเวลาพกข้าวกล่องไปเที่ยว พอคลี่ออกมาก็เป็นของว่างยามบ่ายที่ทางโรงแรมจัดเตรียมให้กับแขกทุกห้องที่เข้าพักอย่างพิถีพิถัน ที่พักเรียวกังของว่างก็เลยเป็น “ขนมโมจิหลากสไตล์” เข้ากันกับบรรรยากาศ ซึ่งเสิร์ฟมาหลายชนิดเลยแต่ไม่รู้หรอกว่าเรียกว่าอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวว่าอร่อยทุกอย่างหมดในชั่วพริบตา ทานพร้อมกับชาร้อน “เก็นไมฉะ (Genmaicha, 玄米茶)” หรือ “ชาเขียวข้าวคั่ว” โดยการคัดสรรค์ข้าวคั่วและใบชาเขียวพันธุ์ดีมาชงผสมกัน ซึ่งที่พนักงานชงให้ดื่มเป็น “ชาเขียวข้าวคั่วเกียวคุโระ (Gyokuro Genmaicha)” ซึ่งเป็นพันธุ์ดี หายาก และราคาแพงมากๆ
“รู้หมือไร่?”
“Gyokuro Genmaicha” เป็นชาเขียวข้าวคั่วญี่ปุ่นเกรดดีพิเศษ จากจังหวัดคิวชู ซึ่งหาทานได้ยากมาก เนื่องจากใช้ใบชาคุณภาพสูงอย่าง “เกียวคุโระ (Gyokuro, 玉露)” นำมาเบลนกับข้าวคั่วญี่ปุ่น ให้รสชาตินุ่มนวลอุมามิสมเป็นแก่นแท้ของความอร่อย และหอมโดดเด่นกว่าชาเขียวข้าวคั่วทั่วไป
บ่ายนี้ได้ลองชิมโฮมเมดโมจิหลากหลายแบบ สามารถทานกับ “Kuromitsu (黒蜜)” น้ำเชื่อมสีดำที่ทำจากน้ำตาลทรายแดงเคี่ยว ตัดหวานพร้อมจิบชาชั้นเลิศหอมๆ เข้ากันมาก
บริเวณโดยรอบของรีสอร์ท ก็จะมีสวนและสระน้ำบรรยากาศแบบญี่ปุ่น มีฝูงเป็ดหลากชนิดคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งแขกที่มาพักสามารถให้อาหารเป็ดได้ โดยไปขออาหารได้ที่ “อาคารออนเซ็น” น้องเป็ดพวกนี้จะค่อนข้างเป็นมิตรและไม่กลัวคน ตอนเดินตามกันเป็นพรวนน่ารักมากๆ
มาพัก “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด นั่นก็คือ “แช่ออนเซ็น “นั่นเอง หลังจากทานของว่างเสร็จ ก็ได้เวลาที่จองไว้พอดี
“ดิ ออนเซ็น (The Onsen)” ถือเป็นหัวใจของการมาพักที่ “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” ในครั้งนี้เลย และก็เป็นการเปิดประสบการณ์แช่ออนเซ็นนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเช่นกัน ตามที่ได้เล่าไว้ตอนต้นว่า ที่พักเรียวกัง (ห้าดาว) แห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบ่อน้ำพุร้อนจากแดนอาทิตย์อุทัย จึงเป็นการมาพักผ่อนที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่น และได้พักผ่อน ผ่อนคลาย และฟื้นฟูร่างกายด้วยน้ำพุร้อน รวมถึงสัมผัสบรรยากาศที่รู้สึกเหมือนว่ากำลังพักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
ช่วงบ่ายวันนี้มีนัดแช่บ่อน้ำพุร้อนที่ “ออนเซ็นในสวน (Onsen in the Garden)” ซึ่งการแช่ออนเซ็นเป็นระบบบำบัด ซึ่งเป็นบ่อรวมชายหญิง บรรยากาศเป็นแบบกลางแจ้งอยู่ในสวน แขกที่มาพักสามารถใช้บริการได้ฟรี โดยต้องมีการจองเวลาล่วงหน้า เพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป หากมาพร้อมกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงก็สามารถจองแบบส่วนตัว (ในกรณี่ที่บ่อออนเซ็นว่าง) ได้เช่นกัน
ออนเซ็นในส่วนนี้ จะเป็นบ่อออนเซ็นขนาดใหญ่ มาพร้อมกับศาลาพักผ่อน เก้าอี้นั่งและนอนเล่นรอบบ่อ การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากญี่ปุ่น ให้เปรียบเสมือนเป็นบ่อโอเอซิสขนาดใหญ่อยู่กลางสวน ซึ่งภายในบริเวณก็จะมีส่วนอาบน้ำกลางแจ้งที่มีทั้งฝักบัว (และฝักบัวฝนตก) ที่อาบน้ำแบบนั่งสไตล์ญี่ปุ่น รวมถึงห้องน้ำภายในบริเวณแบบส่วนตัว และตู้เก็บของไว้บริการระหว่างที่แช่ออนเซ็น บ่อออนเซ็นจะมีอุณหภูมิที่ต่างกันเพื่อปรับสภาพร่างกาย มีบ่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิแตกต่างกัน จะมีป้ายบอกอุณหภูมิระบุไว้ รวมถึงมีน้ำตก และอ่างในถังน้ำเย็น
“Onsen in the Garden”
การแช่ออนเซ็นเป็นบ่อรวมชายหญิงใช้บริการร่วมกับแขกท่านอื่น ต้องเตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วย โดย “ไม่อนุญาต” ให้สวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นในการแช่ออนเซ็น หากไม่ได้เตรียมมาด้วย ทางออนเซ็นได้จัดเตรียมชุดชั้นในอนามัย (เกาะอกและกางเกงในแบบใช้แล้วทิ้ง) ให้ด้วย แต่แนะนำให้เอามาเองดีสุด เนื่องจากของออนเซ็นจะค่อนข้างบางและก็ซีทรูเล็กน้อย
หากต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถที่จะเหมารอบเป็น “Private” ในราคาเริ่มต้น 2,500 บาท สำหรับแขก 2 ท่าน สามารถใช้บริการได้ 90 นาที
แหล่งน้ำแร่ของ “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม”
มีแหล่งกำเนิดจากน้ำพุเย็นตามธรรมชาติ ที่มาจากน้ำฝนไหลผ่านการกรองชั้นหินลึกหลายชั้นจนลึกลงไปใต้พื้นผิวโลกกว่า 100 เมตร กลายเป็นแหล่งน้ำที่มีแร่ธาตุสำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกระสี แคลเซียม และซัลเฟตไอออน ซึ่งสารบำรุงจากธรรมชาติเหล่านี้ เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างครบถ้วน และเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำแร่ที่มาจากน้ำพุเย็น จึงปราศจากการเจอปนของสารกำมะถัน (ซึ่งมักพบในน้ำแร่จากแหล่งน้ำพุร้อน) มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ชำระล้างผิวให้เนียนนุ่ม ร่างกายได้หายใจ จิตใจสงบรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เมื่อทราบว่าแหล่งน้ำแห่งนี้ประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย จึงไม่แปลกใจเลยว่าน้ำแร่แบรนด์ดังที่คุ้นเคยอย่าง “ออรา (Aura)” จึงใช้น้ำแร่จากบริเวณนี้ในการผลิตน้ำแร่เป็นเวลายาวนานมาหลายปี และมีคุณสมบัติไม่แพ้น้ำแร่จากต่างประเทศ เนื่องจากมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งน้ำเดียวกัน ระหว่างทางขึ้นไป “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” หากสังเกตจะเห็นป้ายโรงงานน้ำแร่อยู่ข้างทาง
กรณีที่ไม่สะดวกกับการแช่ออนเซ็น หรือต้องการพักผ่อนระหว่างรอเวลาแช่ บริเวณด้านนอกมีศาลาเล็กๆ สำหรับนั่งแช่เท้าผ่อนคลายเบาๆ พร้อมเบาะนิ่มๆ สำหรับนั่งชมบรรยากาศสวนภายนอกได้อีกด้วย
ยามเย็นหลังจากกลับมาอาบน้ำล้างตัวที่ห้องเสร็จ แขกที่มาพักมักสวมชุดคลุมแบบญี่ปุ่นที่มีไว้ให้บริการ ออกมาเดินถ่ายรูปเล่นกับบรรยากาศด้านนอก หรือระหว่างเดินไปใช้บริการออนเซ็น ช่วงตอนพลบค่ำเมื่อทางเรียวกังเริ่มเปิดไฟ ถือเป็นอีกช่วงเวลาที่งดงามและโรแมนติก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ
“Grand Tatami Onsen Suite”
เป็นห้องที่เห็นวิวออนเซ็นและภูเขา มีเพียง 4 ห้อง เป็นห้องพักเรียวกังฝั่งเหนือ สำหรับห้องประเภท “Imperial Tatami Onsen Suite” จะเหมือนกันทุกอย่าง (รวมถึงขนาดก็เท่ากัน) แต่ต่างกันตรงบริเวณที่ตั้งจะอยู่โซนฝั่งใต้ และเป็นวิวสวนผักและภูเขา
สำหรับอาหารมื้อค่ำวันนี้ จะทานกันที่ห้องอาหาร “มี | ซู (Mi | Zü)” ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักและเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน เมนูมีให้เลือกทั้งอาหารญี่ปุ่นที่คัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี โดยเฉพาะส่วนผสมหรือเครื่องปรุงหลายอย่างก็ทำเอง เช่น “โชยุ (醬油)” หรือซอสถั่วเหลือง เชฟมาเล่าให้ฟังว่ารสชาติจะไม่เหมือนที่ซื้อทานกันทั่วไปตามแบรนด์ต่างๆ เนื่องจากทางเป็นโชยุที่หมักกันเอง
นอกจากนี้ ยังมีอาหารไทย ซึ่งเห็นบอกว่าคงความเป็นเอกลักษณ์เดิมเหมือนต้นตำรับ แต่ก็ผสมผสานกับญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน รวมถึงเมนูอาหารยุโรป ซึ่งนำแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบจากธรรมชาติหาได้ในท้องถิ่นมารังสรรค์ จากที่เปิดเมนูดูก็เห็นน่าลิ้มลองหลายอย่างเช่นกัน สำหรับสายดื่ม ทางห้องอาหารมีสาเกอย่างดีจับคู่กับไวน์ชั้นเลิศที่เลือกมาอย่างดีให้ทานเพิ่มรสชาติให้มื้ออาหารสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับมื้อค่ำวันนี้ ไม่ได้สั่งตามเมนูทั่วไปของทางร้าน แต่จะเป็น “Kaiseki” เซตอาหารญี่ปุ่นตามแบบฉบับเฉพาะของ “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” หรือ ชุดดินเนอร์คอร์สสไตล์ญี่ปุ่น “Ryokan All-Inclusive Package — A Luxury 7-Course Dinner” ซึ่งบอกได้เลยว่า “เต็มสิบไม่หัก” ตั้งแต่รายการอาหารยั่วน้ำลาย (Appetizer) จานหลัก ไปจนถึงเมนูของหวานปิดท้าย ทุกรายการวิจิตรอลังการสวยงามตามท้องเรื่อง สมคุณค่ากับที่เชฟได้พยายามรังสรรค์อย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน เพื่อให้แขกได้ลิ้มลองรสชาติที่ทั้งงดงามและอร่อยไปพร้อมกัน วัตถุดิบที่เลือกใช้ทั้งสดใหม่และปรุงแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ เสมือนว่ามี “มาสเตอร์เชฟ” กำลังทำอาหารมื้อค่ำด้วยเมนูที่สุดพิเศษให้ทานเลยทีเดียว
“Kaiseki”
คือ เซตอาหารญี่ปุ่นตามแบบฉบับ “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” ซึ่งเชฟได้รังสรรค์เมนูต่างๆ โดยใช้วัตถุดิบสดใหม่ตามฤดูกาล บรรจงคัดเลือกวัตถุดิบชั้นดีในพื้นที่ พร้อมปรุงแต่ง ด้วยความใส่ใจและความพิถีพิถันทุกขั้นตอน ตามแบบฉบับต้นตำรับจากแดนอาทิตย์อุทัย เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับแขกที่มาพัก
เมนูอาหาร
“คลิ๊ก” เพื่อชมรายการอาหาร และเมนูที่สรรค์สร้างอย่างออกมาในรูปแบบคล้ายหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น จัดทำเมนูออกมาแบบสองภาษาได้อย่างลงตัว ซึ่งทาง “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” ได้ทำขึ้นมาด้วยความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน พร้อมสอดแทรกเกร็ดความรู้มาได้อย่างน่าสนใจ
“มี | ซู (Mi | Zü)”
เปิดบริการ : 07.00 น. ถึง 23.00 น.
หลังเสร็จภารกิจเซตอาหารญี่ปุ่น “Kaiseki” ซึ่งตอนแรกดูเผินๆ เหมือนจะไม่อิ่มนัก เพราะแต่ละรายการเสิร์ฟเป็นจานเล็กๆ ที่ไหนได้อาหารจานสุดท้ายทำเอาทานเกือบไม่หมดทีเดียว ยังดีมีของหวานล้างปากปิดท้าย พอกลับมาถึงห้องทุกอย่างยังไม่จบ เปิดประตูเข้ามาเจอ “ข้าวซอยตัด” ของว่างที่เป็นขนมท้องถิ่นทางภาคเหนือ พร้อมกับการ์ด “ราตรีสวัสดิ์” ใบเล็กๆ วางทิ้งไว้ให้ประทับใจส่งท้ายวันแรกจริงๆ
“ข้าวซอยตัด”
เป็นของทานเล่นทางภาคเหนือ ซึ่งหากย้อนความไปจะพบว่ามีต้นกำเนิดดั้งเดิมมาจากประเทศจีน (อันนี้พึ่งทราบเหมือนกัน) ตอนเด็กจะเห็นเป็นขนมซึ่งวางขายทั่วไป และพบเห็นในร้านข้าวซอย เดิมทีก็คุ้นเคยและเข้าใจว่าเป็นอาหารทานเล่นของเชียงใหม่ มีชื่อเรียกเป็นภาษาจีนว่า “ซาฉีหม่า (沙琪玛)” อาหารว่างของชาวเผ่าแมนจู ซึ่งนำเอาแป้งสาลี ไข่ไก่ และน้ำ มานวดผสมให้เหนียว ตัดเป็นเส้นและทอดให้กรอบ จากนั้นก็นำไปคลุกกับน้ำเชื่อม (น้ำตาล) หรือน้ำผึ้ง และแบะแซ (รู้จักกันทั่วไปว่า “Glucose Syrup” นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ใช้แทนน้ำตาลนั่นเอง) แล้วจึงมาตัดเป็นชิ้นๆ
ก่อนนอนลูกชายบอกว่าขอแช่ออนเซ็น หลังจากที่ช่วงบ่ายเร่งรีบต้องกลับมาทำธุระที่ห้อง ยังแช่ออนเซ็นไม่จุใจ จึงต้องกด “0” เพื่อขอแม่บ้านมาผสมน้ำสำหรับแช่ออนเซ็นภายในห้อง — ให้บริการถึง “22.00 น.” — เรียกว่า บริการทุกระดับได้ประทับใจจริงๆ
ตอนเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เปิดประตูออกมาสูดอากาศข้างนอก ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นแม้ว่าในตัวเมืองด้านล่างเริ่มร้อนแล้ว ทั้งนี้เพราะว่าออนเซ็นนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่สูง การได้มาพักก็เหมือนได้ยืดฤดูหนาวต่อไปอีกนิดนึง
เช้านี้จะพากลับไปแช่น้ำพุร้อนกันอีกรอบที่ “ดิ ออนเซ็น (The Onsen)” โดยจะเป็นแบบ “Public Onsen” แตกต่างจากที่ใช้บริการเมื่อวานซึ่งเป็นการแช่ออนเซ็นบ่อรวมในสวนแบบกลางแจ้ง รีบจองไว้แต่เช้ารอบแรก 7 โมง ตอนที่ชาวบ้านยังไม่ตื่นกัน เพราะว่าห้องนี้เวลาจะลงแช่ต้องถอดเสื้อผ้าหมดทุกชิ้น ซึ่งหากต้องไปแช่รวมกับคนอื่นก็คงมีเขินๆ บ้างเหมือนกัน แม้ว่าเคยมีประสบการ์ตอนไปญี่ปุ่นบ้างแล้วก็ตาม แต่ที่เมืองไทยนี่ถ้าเลือกได้ขอแบบไม่เจอคนดีกว่า ยังไงก็ตาม สำหรับผู้หญิงไม่ต้องกังวล เพราะส่วนนี้ไม่ใช่บ่อรวม มีการแยกฟากชายหญิงไม่มีปนกัน
แม้ว่าในห้องเรียวกังประเภทที่พักจะมีบ่อแช่ออนเซ็นส่วนตัว (มีเฉพาะบางห้อง) แต่ว่ามาถึงที่นี่ต้องมาใช้บริการที่ “ออนเซ็นสาธารณะ (Public Onsen)” ส่วนกลาง “ดิ ออนเซ็น” ซึ่งจะให้ความรู้สึกและบรรยากาศเหมือนที่ญี่ปุ่น แนะนำว่าต้องตามไปพิสูจน์ว่าจริงหมือไร่ แขกที่พักสามารถจองเวลาเพื่อแช่ออนเซ็นได้ฟรี — สำหรับขาจรหรือบุคคลภายนอก ก็สามารถมาใช้บริการได้เช่นกัน ในอัตราท่านละ 750 บาท เป็น “Day Pass” สำหรับการเลือกใช้บริการ “Public Onsen” — ทั้งนี้ก็เพราะมีบ่อขนาดใหญ่เหมือนที่ญี่ปุ่น ทั้งบรรยากาศและความรู้สึก รวมถึงคุณภาพน้ำแร่ของที่ประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิดตามที่อธิบายไว้ข้างบน ที่สำคัญ เป็นแหล่งน้ำพุเย็นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย บนเทือกเขาสูง 2,700 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล การันตีด้วยมาตรฐานเดียวกับน้ำแร่แบรนด์ดัง เนื่องจากมาจากแหล่งกำเนิดน้ำแร่บนดอยบริเวณม่อนแจ่ม (ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ที่เดียวกัน
ห้องออนเซ็นซึ่งแยกชายหญิง มีทั้งหมด 4 บ่อ ซึ่งมีอุณหภูมิต่างๆ กัน ได้แก่ บ่อน้ำร้อนอุณหภูมิ 40 39 38 องศา และบ่อน้ำเย็น (ถังไม้) 18 องศา โดยจะมีคำอธิบายพร้อมแนะนำขั้นตอนเป็นสองภาษา (ไทยกับอังกฤษ) อย่างละเอียดสำหรับแขกที่มาใช้บริการ หรือหากมีส่วนไหนไม่เข้าใจก็สามารถสอบถามพนักงานเพิ่มเติมได้ครับ
สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะไปญี่ปุ่นและอยากแช่ออนเซ็น แต่ว่าไม่รู้ขั้นตอนและธรรมเนียมปฏิบัติ การได้มาลองแช่ออนเซ็นที่นี่ เปรียบเสมือนเข้าคลาส “Onsen 101” ก่อนไป ทำให้เวลาไปแช่ที่โน่นไม่เคอะเขินอีกด้วย เพราะจำได้ว่าตอนไปแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นครั้งแรกนี่งงมากว่าต้องทำอะไรบ้าง ยิ่งทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด แม้ว่ามีภาพอธิบายประกอบ บางทีก็ไม่ค่อยชัดเจนพอ กลับมาถึงรู้ว่าบางอย่างนี่อาจผิดมารยาทไปบ้าง ยังดีไปตอนรอบดึกก็เลยไม่มีแขกคนอื่น
“ระเบียบการใช้บริการ”
ในส่วนของออนเซ็นสาธารณะฝั่งผู้หญิง “Public Female” ทางออนเซ็นจะเตรียม “ชุดชั้นในอนามัย” (ชุดเกาะอกและกางเกงในแบบใช้แล้วทิ้ง) สำหรับการแช่ออนเซ็น สำหรับฟากชาย “Public Male” ทางออนเซ็นจะมีผ้าขนหนูแบบญี่ปุ่นให้บริการ และ “ไม่อนุญาต” ชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในทุกชนิดระหว่างการใช้บริการ
นอกจากต้องถอดเสื้อผ้ากันหมดทุกชิ้นแล้ว ที่ “ดิ ออนเซ็น” ห้ามถ่ายภาพ เนื่องจากอาจเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาใช้บริการ รวมถึงอาจมีภาพหลุดที่ไม่เหมาะสม ในเคสนี้ได้ขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ และเนื่องจากเป็นรอบเช้าตรู่ไม่มีแขกท่านอื่นมาใช้บริการ
ยามเช้าอากาศดีมากๆ เหมาะสำหรับเดินเล่นรอบบริเวณ โดยเฉพาะการผ่อนคลายหลังจากแช่ออนเซ็นยามเช้าพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับหลีกหนีความวุ่นวายมาผ่อนคลาย
มื้อเช้ายังคงรับประทานอาหารที่ห้อง “มี | ซู (Mi | Zü)” เหมือนตอนค่ำเมื่อวาน ช่วงฤดูท่องเที่ยวแนะนำให้ไปทานแต่เช้าตรู่ตอนห้องอาหารเปิด (7 โมง) จะได้ไม่พลุกพล่านนัก
อาหารเช้าจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่สามารถสั่งมาทานได้เรื่อยๆ สั่งอาหารจานหลัก เครื่องดื่ม และของหวาน ได้จากพนักงาน ส่วนบางอย่าง เช่น สลัด ขนมปัง สามารถไปตักเองได้ที่ไลน์อาหาร ที่ชอบพิเศษเป็นการส่วนตัว คือ “แซลมอนย่างซีอิ๊ว” ที่หอมและย่างมาได้อย่างพอเหมาะ โดยสั่งเบิ้ลกันมาทุกคนเลย สำหรับของหวานก็อร่อยไม่แพ้กัน เป็น “โทสผลไม้สด” ซึ่งมีซอสเมเปิ้ลแยกมาให้ด้วย เป็นมื้ออาหารเช้าที่อิ่มและประทับใจมาก จัดกันเต็มที่จนแทบจะลุกไม่ไหว
หลังจากที่ทานอาหารเช้ากันจนพุงปลิ้น ก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปกันต่อ แต่ว่าช่วงนี้หมดฤดูหนาว พอสายอากาศเริ่มร้อนเร็วมาก หากจะถ่ายรูปแนะนำให้เป็นช่วงบ่ายเย็นๆ หรือเช้าตรู่จะเหมาะที่สุดครับ
“โค | ซาเกะ (Ko | Sake)” อยู่บริเวณด้านบนห้องอาหารหลัก เป็นสถานที่สำหรับมานั่งพักผ่อนชิวๆ นั่งดื่มช่วงบ่ายหรือหลังมื้อค่ำไปจนถึงก่อนเข้านอน รวมไปถึงอาหารว่างเบาๆ เพื่อผ่อนคลายหลังจากแช่ออนเซ็น ห้องนี้บรรยากาศดีและแอร์เย็นสบาย
“โค | ซาเกะ (Ko | Sake)”
เปิดบริการ : 12.00 น. ถึง 23.00 น.
หลังจากเช็คเอาท์จะส่งท้ายกันด้วยมื้อเที่ยงที่ “ฮิเดะ | โนบุ (Hi De | No Bu)” ซึ่งปกติเป็นห้องอาหารแนว “อิซากายะ (Izakaya)” แบบกลางแจ้ง แต่มื้อนี้จะเป็นราเมน แต่ว่าอากาศร้อนมาก จึงขอเชฟนำไปเสิร์ฟทานห้องอาหารข้างล่างแทน
“ฮิเดะ | โนบุ (Hi De | No Bu)”
ให้บริการอาหารแตกต่างไปตามช่วงเวลาและฤดูกาล
Ramen (拉麺) — เสิร์ฟ “ราเมน” สำหรับคนกินเส้น ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. / ช่วงที่ไปพักเปิดบริการเฉพาะ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์
Kushiyaki (串焼き) — ให้บริการอาหารแนว “ปิ้งย่างเสียบไม้” ระหว่างเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.
ช่วงเวลาที่มีความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเคย ทันทีที่ก้าวเท้าออกจาก “ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม” เหมือนเปิดประตูวาร์ปกลับมาอยู่เมืองไทยเลย เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจทั้งสถานที่และบริการ แต่ที่ชอบสุดคงหนีไม่พ้น “บ่อออนเซ็น” ที่รู้สึกเหมือนกับแช่ออนเซ็นอยู่ที่ญี่ปุ่นจริงๆ สัมผัสได้ถึงความผ่อนคลาย สมกับการมาพักผ่อนในสถานที่เงียบสงบไม่พลุกพล่าน หากมีโอกาสคงได้กลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอนครับ
Photo Gallery