“ไต้หวัน” ครั้งแรกแบบครบรส
— เที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางใหม่กับสายการบิน “แอร์เอเชีย” : ออกเดินทางจาก “เชียงใหม่” บินตรงสู่ “ไทเป” —
ทริปนี้จะพาตะลุย “ไต้หวัน (Taiwan, 台灣)” ไปพร้อมกับเที่ยวบินปฐมฤกษ์กับเส้นทางใหม่ล่าสุดของสายการบิน “แอร์เอเชีย” ซึ่งออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ ตรงสู่จุดหมาย “ไทเป (Taipei, 台北)” ณ “สนามบินนานาชาติไต้หวันเถาหยวน (Taiwan Taoyuan International Airport, 台灣桃園國際機場)” สำหรับคนเชียงใหม่ถือว่าสะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อเครื่องกรุงเทพ จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมีครบทุกรสชาติ รับรองถูกใจทั้งสายกิน ขาช็อป เที่ยวสไตล์แบกเป้ รวมไปถึงคนชอบถ่ายรูปด้วย
อันดับแรกขอรบกวนกดติดตามและทักทายกันทาง Facebook กันก่อนนะครับ จะได้ไม่พลาดติดตามข่าวสารกันในตอนต่อไป
Facebook. : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
ก่อนไปเที่ยวเวลานึกถึง “ไต้หวัน” สิ่งแรกๆ ที่คาดไว้ก็จะเป็นถนนคนเดินกลางคืน อาหารแนวสตรีท ชานมใส่มุก รองเท้าแบรนด์เนมราคาถูก แต่ความจริงแล้วไต้หวันมีอะไรน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย ทริปนี้จะถือโอกาสพาไปเที่ยวนอก “กรุงไทเป” เมืองหลวงของไต้หวันกันด้วยครับ
วันที่ 1 : เที่ยวบินปฐมฤกษ์ “FD 242 : CNX-TPE”
การเดินทางในทริปนี้มีโอกาสได้ร่วมไปกับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ บินตรงจากเชียงใหม่ไปยังกรุงไทเป (เมืองหลวงของไต้หวัน) ซึ่งสายการบินแอร์เอเชียพึ่งเปิดให้บริการ เมื่อวันที่ “30 กันยายน 2561” ที่ผ่านมาเป็นเที่ยวแรก ช่วงก่อนขึ้นเครื่องก็จะมีการต้อนรับพร้อมแจกของที่ระลึกแก่ผู้โดยสารกันเล็กน้อยครับ เป็นปลายทางยอดฮิตที่แอร์เอเชียนำกลับมาอีกครั้ง หลังจากเคยบินจากกรุงเทพเมื่อนานมาแล้วก่อนยกเลิกไป
เครื่องบินรุ่นที่ใช้บินเที่ยวนี้เป็น “Airbus A320-200neo” ซึ่งเสียงจะเงียบกว่าตัวเก่า เหมือนส่งมอบลำแรกให้กับแอร์เอเชียตั้งแต่ช่วงปลายเดือน “ตุลาคม 2559” แต่พึ่งมีโอกาสได้ลองนั่งครั้งแรกทริปนี้เองครับ
เที่ยวบินปฐมฤกษ์เป็นเที่ยวบิน “FD 242” ออกจากเชียงใหม่ช่วงบ่ายๆ กว่าจะถึงที่หมายก็หัวค่ำพอดี (แต่อัพเดทล่าสุดน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตารางเวลาเที่ยวบินตามรายละเอียดด้านล่าง) ก่อนลงก็จะเห็นพระอาทิตย์ตกสวยมากจากบนเครื่องบินครับ ส่วนตัวชอบเวลารอบนี้เพราะว่าตอนถึงไต้หวันก็ได้เวลามื้อเย็นพอดี เมื่อทานอะไรเสร็จเดินเล่นสักหน่อยก็พักผ่อนเข้านอนได้เลย
รายละเอียดเที่ยวบิน (อัพเดท เดือนตุลาคม 2561) :
FD 242 : CNX – TPE / 21:20 – 02:00 (+1) — Duration : 3h 40m
FD 243 : TPE – CNX / 02:30 – 06:00 — Duration : 4h 30mเปิดให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (ออกเดินทางจากเชียงใหม่วันอังคาร พุธ ศุกร์ และอาทิตย์)
จากเชียงใหม่ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมง เครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติไทเปเถาหยวนประมาณหนึ่งทุ่มตามเวลาท้องถิ่น (เปลี่ยนเส้นแบ่งเขตเวลาต้องปรับเวลา +1 ชั่วโมง) ระหว่างที่เครื่องวิ่งบนรันเวย์เข้าจอด มองเห็นแนวรถเปิดไซเรนอยู่ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่ามีอะไรด้านนอก จนกระทั่งเห็นละอองน้ำมากระทบที่หน้าต่างเครื่องบินทั้งสองข้าง จึงมั่นใจว่าเป็นการต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ที่กำลังนั่งมานั่นเอง เสียดายหากมีโอกาสได้ถ่ายจังหวะที่รถดับเพลิงฉีดอุโมงค์ม่านน้ำให้เครื่องบินผ่านจากข้างนอกคงจะเป็นภาพที่สวยมากครับ
“รู้หมือไร่?”
“Water Salute” เป็นประเพณีที่ทางสนามบินยึดถือปฏิบัติ แสดงถึงความเคารพ ให้เกียรติ และขอบคุณ โดยใช้รถดับเพลิงสองคันมาพ่นอุโมงค์ม่านน้ำให้เครื่องบินลอดผ่าน
โดยทั่วไปจะพบเห็นประเพณีนี้ในโอกาสสำคัญ ได้แก่
การต้อนรับสายการบินที่เปิดเส้นทางใหม่มาลงสนามบินแห่งนั้นเป็นครั้งแรก เหมือนเช่นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของแอร์เอเชียที่บินมาจากเชียงใหม่ครั้งนี้นั่นเอง
การต้อนรับเครื่องบินลำใหม่ที่เปิดตัวให้บริการเป็นครั้งแรก มักเห็นบ่อยๆ ตามข่าวเมื่อสายการบินเปิดตัวหรือซื้อเครื่องบินลำใหม่
นอกจากนี้ ก็ยังรวมไปถึงการอำลาเที่ยวบินสุดท้ายของกัปตันสายการบินก่อนเกษียรอายุการทำงาน และการส่งท้ายเที่ยวบินสุดท้ายสำหรับสายการบินเมื่อหยุดหรือยกเลิกเส้นทางที่จะมาลงสนามบินแห่งนั้นอีกด้วย
เมื่อเดินเข้าตัวอาคารสนามบิน ก็มีอีกหนึ่งเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องจากทริปนี้ผมนั่งอยู่แถวแรกๆ แล้วรีบจะไปเข้าห้องน้ำจึงเร่งแซงออกมาก่อนใคร พอเดินผ่านงวงออกไปเห็นแนวนักข่าวนหลายสิบถือกล้องโปรเต็มอัตราศึกรออยู่ รวมถึงมีคนยืนรอด้วยรอยยิ้มอยู่มากมาย แถมมีการเล่นดนตรีต้อนรับอีก ทำเอาสะดุ้งโหยงจนเผลออุทาน “เฮ้ยยย…ย” ออกมาเบาๆ แล้วกระโดดถอยหลังกลับไปตั้งหลักในงวงอีกรอบอย่างรวดเร็ว พอตั้งตัวได้และเริ่มมีคนอื่นทะยอยตามออกมา ไม่ปล่อยให้เราเป็นทัพหน้าแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป จึงคว้ากล้องเดินออกมาแล้วถ่ายกลับไปบ้างครับ จากนั้นทีมต้อนรับจากสนามบินก็จะมีรำต้อนรับแล้วคล้องพวงมาลัยสีส้มฉูดฉาดพวงโตให้ รู้สึกเขินปนปลื้มเป็นที่สุด อารมณ์ประมาณไปชกมวยโลกแล้วกลับประเทศได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ประมาณนั้น ถือเป็นการต้อนรับที่ประทับใจทีเดียวครับ สังเกตได้จากสีหน้ารอยยิ้มของผู้โดยสารอื่นๆ ที่ตามมาด้านหลัง
ผ่านการต้อนรับอันยิ่งใหญ่เสร็จ แนะนำให้แวะทำธุระกันก่อน เนื่องจากช่วงต่อคิวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแถวยาวและใช้เวลานานทีเดียว (รอบนี้น่าจะประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง) ยกเว้นกรณีมั่นใจช่วงที่เที่ยวบินลงไม่มีคนรอมากนัก ก็ควรรีบผ่านขั้นตอนก่อนผู้โดยสารท่านอื่นจะตามมาก็ดี ระหว่างขั้นตอนรอพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแนะนำว่าไม่ควรถ่ายภาพโดยเด็ดขาด สังเกตเที่ยวบินที่ไปจะเห็นคนไทยใจร้อนรีบถ่ายและอัพรูปกันอย่างสนุกสนานทั้งที่มีป้ายเตือนเอาไว้ หากเจอประเทศที่เข้มงวดหรือเจ้าหน้าที่มองเห็น อาจโดนเรียกเข้าไปปรับทัศนคติได้ครับ หากเบื่อไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็สามารถเปิดมือถือไปก่อนได้ ทางสนามบินให้บริการ Wi-Fi ฟรีในบริเวณนี้ ถึงแม้ว่าจะอืดไปบ้างก็ตาม
หลังจากได้รับกระเป๋าครบถ้วนแล้ว หากใครต้องการซิมมือถือจะมีร้านขายอยู่บริเวณทางออก แนะนำว่าไม่ต้องใช้ “Roaming” จากเมืองไทย หรือไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องซื้อซิมของเครือข่ายบ้านเราสักเท่าไหร่ มาหาที่นี่ทั้งสะดวกกว่าและไม่แพง เวลาเปิดใช้งานไม่ยุ่งยากวุ่นวายอีกด้วย เพราะพนักงานขายทำให้เรียบร้อยทุกขั้นตอน ตกประมาณ “300NTD” ใช้อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดได้นาน “7 วัน” หากต้องการโทรศัพท์ก็ใช้วิธีติดต่อผ่าน Application ต่างๆ เช่น Line ก็จะดีที่สุด ช่วงเวลาที่อยู่ไต้หวัน เปิด Facetime คุยกับลูกและภรรยาทุกวันแทบไม่มีสะดุดเลยครับ
สนามบินนานาชาติไต้หวันเถาหยวน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.taoyuan-airport.com/english
จากสนามบิน การเดินทางเข้าเมืองครั้งนี้ถึงแม้เป็นการเดินทางมาไต้หวันครั้งแรก แต่เผอิญว่ามีคนมารับจึงเป็นเรื่องง่ายมากไม่มีปัญหาอะไร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงยัง “โรงแรมพ่อปลาวาฬ (Papa Whale Hotel)” ที่พักในคืนนี้ ซึ่งเป็นโรงแรมแนวแบกเป้ มีสไตล์การตกแต่งที่เหมาะสำหรับพวกขาฮิปสเตอร์ หรือหากใครชอบถ่ายรูป ที่นี่มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่าย Selfie เต็มไปหมดตั้งแต่ประตูทางเข้ายันห้องนอนครับ ที่สำคัญโรงแรมอยู่บริเวณย่านดัง “ซีเหมินติง (Ximending / 西門町)” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ฮาราจูกุแห่งนครไทเป” หรือหากเทียบง่ายๆ ก็ประมาณแถวสยามบ้านเรานั่นเอง
“Papa Whale Hotel”
Official Website : http://www.papawhale.com
Facebook : http://www.facebook.com/papawhale/
จากโรงแรมพ่อปลาวาฬ (ชื่อน่ารักจริงๆ) ตอนแรกคาดว่าต้องนั่งรถออกไปหาอะไรทาน แต่ที่พักจัดว่าอยู่ใกล้ย่านซีเหมินติงมากๆ ซึ่งเป็นแหล่งของกินพอดี ชาวคณะจึงแนะนำว่าเดินไปง่ายที่สุด บรรยากาศระหว่างทางค่อนข้างคึกคัก เต็มไปด้วยแสงไฟ และการจราจรคับคั่งทีเดียว เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของ “ย่านว่านหัว (Wanhua District / 萬華區)”
หลังจากเดินไปแวะชมร้านอาหารข้างทางในย่านซีเหมินติง สุดท้ายมาจบมื้อแรกกันที่ร้านเป็ดแห่งหนึ่ง เวลาทานก็จะสั่งซุปบะหมี่น้ำมาทานด้วย เป็ดก็รสชาติอร่อยดี แต่เสียดายกระดูกเยอะไปหน่อย ทานแล้วคิดถึงพวกร้านเป็ดย่างเมืองไทยขึ้นมาทันใด เพราะบ้านเราจะเลาะเนื้อแยกกระดูกให้ทานง่ายกว่ากันเยอะ
หลังจากอิ่มท้องก็ได้เวลาเดินสำรวจบริเวณย่านซีเหมินติงกันสักที เห็นแล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับร้านค้า เงินในกระเป๋าสั่นไปหมดเหมือนบอกว่าโดนแน่นอน โดยเฉพาะรองเท้าแบรนด์เนมต่างๆ นี่ราคาตามร้านทั่วไปนี่ก็ถูกกว่าเมืองไทยเยอะเลย (หากอยากได้ถูกจริงๆ คงต้องไปแวะ Outlets นอกเมือง หรือตามแหล่งรองเท้าโดยตรง) แต่ลำพังแค่ร้านปกตินี่ก็แทบแย่แล้วครับ มั่นใจเลยพวกสายรองเท้ามาเที่ยวไต้หวันต้องได้รองเท้ากลับไปแน่นอน อย่างเพื่อนร่วมทริปนี่ใจไม่แข็งพอก็โดนไปประมาณสองหมื่น เห็นว่าตัวเบาแต่หน้ายิ้มกลับมาด้วยความภูมิใจบอกว่าเมืองไทยนี่คงไม่ได้แน่นอน อันนี้ได้รุ่น Limited กลับมาอีกด้วย
ร้านอาหารข้างถนนก็มีตลอดทางน่าลองไปหมดครับ แต่วันแรกมัวเดินถ่ายรูป หากซื้ออะไรกินก็เดินถือไม่ถนัด จนวันสุดท้ายยังไม่ได้ลองชามุกต้นตำรับเลย รู้สึกพลาดอย่างมาก เห็นเพื่อนที่ไปด้วยกันนี่ลองแหลกเก็บทุกร้านดังหรือที่มีคนต่อแถวเยอะๆ นี่รับประกันความอร่อยแน่นอน
นอกจากเรื่องของกินแล้ว มาเที่ยวไต้หวันก็มักจะเห็นพวกร้านตู้คีบต่างๆ เต็มไปหมด ถือว่าเป็นร้านยอดนิยมของพวกวัยรุ่นไต้หวันมากๆ เซียนเมืองไทยหากมีโอกาสไปอย่าลืมไปพิสูจน์ฝีมือกันด้วยครับ
วันที่ 2 : ชมพระอาทิตย์ตกที่ “ทะเลสาบสุริยันจันทรา”
เช้านี้มีการเปลี่ยนแผนเล็กน้อย หลังจากแผนเดิมจะเที่ยวอยู่บริเวณกรุงไทเป ไปปีนตึก “ไทเป 101” สัญลักษณ์สำคัญของไต้หวันอันเลื่องชื่อ กลายเป็นเป้าหมายใหม่ “ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake / 日月潭)” เมืองตากอากาศอันเลื่องชื่อที่สุดของไต้หวัน เป็นสถานที่เหมาะสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ ล่องเรือหรือพายเรือ เป็นต้น
ก่อนจะเริ่มทริปออกเดินทาง ขอเล่าเรื่องอาหารเช้าของโรงแรม ซึ่งจัดว่าเป็นทีเด็ดคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ปกติจะเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติ แต่งานนี้แหวกแนวเป็นหม้อไฟสไตล์ไต้หวัน (Shabu-Shabu) แบบกินไม่อั้น มาแบบนี้ก็จัดเต็มมื้อเช้าไม่เกรงใจพุงแล้วครับ ทั้งนี้เพราะห้องอาหารหลักของโรงแรมจะเปิดเป็นพวกหม้อไฟตอนมื้อกลางวันและเย็น ดังนั้นในส่วนอาหารเช้าสำหรับแขกที่มาพักก็ถือโอกาสจัดหม้อไฟแบบเบาๆ มีผักให้เติมเต็มที่ ส่วนพวกเนื้อสัตว์จะมาแบบเบาๆ พวกลูกชิ้น ปูอัด เต้าหู้ ไก่ ไส้กรอก เกี๊ยว ถึงแม้ว่าไม่มีพวกอาหารทะเลหรือเนื้อวัวสไลด์ชุดใหญ่ แต่โดยรวมถือว่าอร่อยและคุ้มค่าทีเดียวครับ หากใครอยากจัดหนักหม้อไฟตั้งแต่มื้อเช้า ขอแนะนำโรงแรมนี้เท่านั้น เพราะเท่าที่ได้ยินมาไม่เคยเห็นที่อื่นเลยครับ
ทริปนี้จะเดินทางไปกับ “Tripool (旅步)” — http://www.tripool.app — ให้บริการรถยนต์โดยสารส่วนตัว อารมณ์ประมาณ Grab Taxi รับและส่งผู้โดยสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ในราคาที่ถูกว่า Taxi แต่รวดเร็วและสบายกว่านั่งรถโดยสารประจำทาง ตามสโลแกน “Taxi Time, Shuttle Price” เหมาะมากสำหรับการเดินทางไปกันเองหรือกลุ่มตั้งแต่ 2-7 คน ซึ่งรายละเอียดเต็มๆ รออ่านกันตอนหน้าได้ครับ
(ตอนหน้า)
“ไต้หวัน” ชมธรรมชาติ
— การเดินทางอันแสนสะดวกกับ “ทริปพูล”
ทะเลสาบสุริยันจันทราตั้งอยู่ที่ “เมืองหยูฉี (Yuchi Township / 魚池鄉)” ทางทิศตะวันตกของ “เขตหนานโถว (Nantou County / 南投縣)” เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่สุดในประเทศ บริเวณด้านทิศตะวันออกมีลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์ และทางด้านตะวันตกคล้ายพระจันทร์ จึงเป็นที่มาของชื่อ “สุริยันจันทรา”
ช่วงเวลาที่สวยปกติจะเป็นตอนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หากวันไหนสภาพอากาศเป็นใจก็จะเห็นหมอกงดงามจริงๆ แล้วอีกช่วงก็จะเป็นจังหวะแสงสุดท้ายที่พระอาทิตย์ตกซึ่งสวยไม่แพ้กัน ตอนกลางวันต้นเดือนตุลาคมอากาศยังค่อนข้างร้อน จากประสบการณ์ที่ไปเที่ยวมา แนะนำว่าช่วงใบไม้ผลิน่าจะเหมาะกว่า มีโอกาสเห็นดอกซากุระจะบานสะพรั่งเต็มไปหมดโดยรอบทะเลสาบ หรือยามที่ใบไม้เปลี่ยนสีก็น่าสนใจเช่นกัน
คืนนี้ที่พักกันที่ “Youngquan Hotel (湧泉民宿)” อยู่ในชุมชนเล็กๆ บริเวณริมทะเลสาบสุริยันจันทรา ฟังแล้วโรแมนติกดีเหลือเกิน ที่พักจะเปลี่ยนสไตล์เป็นแบบ “B&B” หรือ “Bed & Breakfast” ห้องพักสะอาดและกว้างขวาง ให้ความรู้สึกเป็นกันเองไปอีกแบบนึงครับ
“Youngquan Hotel”
Official Website : http://youngquan.com.tw
Facebook : http://www.facebook.com/youngquanhotels
วันที่ 3 : ปีนเขาในวันฟ้าใสที่ “Hehuanshan”
“เหอหวนซาน (Hehuanshan / 合歡山)” — หรือเรียกว่า “เขาเหอหวน (Mount Hehuan)” ได้เหมือนกัน — เป็นภูเขาที่สูงสุดในไต้หวัน ระดับความสูงกว่า 3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกด้วย

ช่วงที่ไป (ต้นเดือนตุลาคม) อากาศกำลังดีประมาณ 10 องศา แต่หนทางไปคดเคี้ยวมาก แนะนำว่าถ้าเป็นคนเมารถง่ายให้ทานยาแก้ไว้ก่อน มีเวลาได้แวะปีนเขาเล็กน้อยพอเหนื่อยกำลังดี แต่ว่าตอนเดินลงจากจุดชมวิวนี่ทำเอาขาสั่นเหมือนกันครับ หากต้องการเที่ยวหรือถ่ายรูป ควรให้เวลากับที่นี่อย่างน้อยหนึ่งวัน เหมาะที่จะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ควรพักอยู่เมืองใกล้ๆ หรือหากสามารถหาบ้านพักอยู่ข้างบนซึ่งมักจะเต็มได้จะดีที่สุด การเดินทางจากที่พักทะเลสาบสุริยันจันทราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงก็เจอแดดค่อนข้างแรงไปนิด เนื่องด้วยทริปนี้มีเวลาค่อนข้างจำกัด ทำให้ไม่ค่อยได้ซึมซับความงดงามที่นี่มากเท่าที่ควร มัวเสียเวลาไปกับการเดินทางมากกว่าครับ
ระหว่างขากลับจะย้อนไปทางเดิม แวะเบรคสักนิดหลังจากเมารถที่ “ฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing Farm / 清境農場)” — ตามป้ายมักจะเขียน “Qingjing Farm” — สามารถแวะชมในบรรยากาศที่แตกต่างกันตลอดปี ช่วงใบไม้ผลจะมีดอกซากุระบานสะพรั่งเช่นกัน
“ฟาร์มแกะชิงจิ้ง (Cingjing Farm / 清境農場)”
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.cingjing.gov.tw/en/
จากฟาร์มแกะก็วิ่งตรงกลับไทเปกันครับ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง วันนี้เดินทางโหดขนาดนี้ทำเอาแทบสลบจริงๆ สำหรับคืนนี้จะกลับมานอนกันที่ “ซิเหมินติง” กันอีกรอบเป็นคืนสุดท้าย พักที่ “Westgate Hotel (永安棧)” สุดหรูหราตั้งอยู่ใจกลางย่าน ใช้เวลาเดินทางไปสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่ถึง “5 นาที” ห้องพักก็สะดวกสบาย เหมาะสำหรับพักผ่อนในคืนที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยมากๆ ถ้าใครชอบพักแบบสุขสบายระดับสี่ดาวขึ้นไป หากมีโอกาสกลับมาเที่ยวครั้งหน้าพร้อมครอบครัวคงจะเล็งโรงแรมนี้ไว้เป็นทางเลือกแรกๆ เลยทีเดียวครับ
“Westgate Hotel (永安棧)”
Official Website : http://www.westgatehotel.com.tw/en-gb
Facebook : http://www.facebook.com/westgatetaipei/
แวะพักล้างหน้าทำธุระพอหายเหนื่อย โปรแกรมสำหรับวันนี้ยังไม่จบครับ ช่วงกลางวันใช้พลังไปเยอะ คืนนี้ต้องกินของอร่อยจัดเต็มเป็นการส่งท้ายทริปไต้หวันนี้สักหน่อย แน่นอนว่ามื้อค่ำนี้ต้องเป็นอะไรสุดพิเศษอย่าง “หม้อไฟชาบูไต้หวัน” อันเลื่องชื่อที่ร้าน “Wenting Hot Pot (問鼎 麻辣鍋 養生鍋)” และก็เป็นสาขาจากร้านบุฟเฟ่ต์หม้อไฟหม่าล่าเจ้าดังที่คนไทยชอบทาน แต่สาขาใหม่นี้จะเป็นแบบสั่งตามเมนู ซึ่งวัตถุดิบที่นำมาจัดว่าคัดสรรมาอย่างดีทั้งหมด มื้อนี้มีโอกาสได้ลิ้มลอง “เนื้อวากิว A5” อีกด้วย จัดว่าเป็นร้านหม้อไฟไต้หวันระดับ Premium ที่ต้องแนะนำเมื่อมาเยือนไทเปเช่นกันครับ
“Wenting Hot Pot (問鼎 麻辣鍋 養生鍋)”
Website : http://www.wending.com.tw/en/
Facebook : http://www.facebook.com/wenting001/
เพื่อสัมผัสความอร่อยอย่างเต็มอรรถรส ขออนุญาตแยกอาหารเย็นมื้อนี้ไปในตอนสุดท้ายแยกพิเศษปิดท้ายทริปไต้หวันต่างหากดีกว่า ระหว่างรอสามารถแวะชมเมนูเรียกน้ำย่อยได้ที่เว็บไซต์ทางการของร้านไปพลางๆ ก่อนได้ครับ
(ตอนพิเศษ)
หม้อไฟสไตล์ “ไต้หวัน”
— อิ่มอร่อยแบบไต้หวันกันที่ “เว่นติงหม้อไฟ”
มื้อค่ำเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยคะแนนเต็ม “100/100” จริงๆ แต่เหนืออื่นใดต้องเดินย่อยกันก่อนกลับที่พักครับ โรงแรมอยู่ตรง Ximending พอดี ทำให้เดินเที่ยวจนร้านรวงปิดได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ที่สำคัญประเทศนี้ค่อนข้างปลอดภัยมากระดับหนึ่ง ประมาณได้กลิ่นอายเหมือนตอนเที่ยวญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ถ้าจะห่วงก็ระวังกระเป๋าฉีกมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม เที่ยวด้วยความไม่ประมาทดีที่สุดครับ
วันที่ 4 : ได้เวลาอำลา “Taipei”
เช้าวันสุดท้ายของทริปไต้หวัน แอบตื่นสายนิดนึงกว่าที่ตั้งใจ เพราะเหนื่อยสะสมจากการเดินทางตั้งแต่วันแรก แต่สุดท้ายพยายามฝืนลุกจากที่นอน เพราะว่าเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับออกไปถ่ายรูปที่ “Chiang Kai-Shek Memorial Hall (中正紀念堂)” อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง “ประธานาธิบดีเจียงไคเชก” ประธานาธิบดีอันเป็นที่รักของชาวไต้หวัน ถึงแม้ว่าจะตื่นสายแต่เนื่องจากโรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้ามาก ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที เพื่อเดินทางไปยังอนุสรณ์สถาน ถึงแม้ว่าจะเสียเวลาขึ้นรถไฟฟ้าผิดทิศไปทางตรงข้ามแล้วย้อนกลับมาแล้วก็ตาม การเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินก็ไม่ยาก มีป้ายบอกทางและแผนที่ชัดเจน ในส่วนตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติก็ใช้งานง่าย นอกจากเมนูเป็นภาษาอังกฤษก็ยังมีภาษาไทยพ่วงมาอีกด้วย
ไปถึงสายไปหน่อยแต่ก็ยังดีที่แสงไม่แรงเกินไป อากาศยามเช้าดีมาก แดดอ่อนๆ ทำให้อากาศไม่เย็นเกินไป จะเห็นผู้คนชาวไต้หวันมาออกกำลังกายยามเช้าหรือปั่นจักรยานผ่านไปมาตลอด ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยและฉุกละหุกไปสักเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่าที่ตัดสินใจมาแวะเช็คอินถ่ายรูปยามเช้านี้
เช้านี้ใช้เวลาไปและกลับประมาณชั่วโมงนึงพอดี กลับมาก็รีบไปแวะทานอาหารเช้าที่โรงแรม ก่อนที่จะอาบน้ำเก็บของเพื่อเตรียมตัวสำหรับการท่องเที่ยวแถบนอกเมืองไต้หวันกันครับ
โปรแกรมสำหรับวันนี้จะเน้นเที่ยวบริเวณ “นิวไทเป (New Taipei City / 新北市)” ซึ่งเป็นเขตที่ขยายใหม่จาก “กรุงไทเป (เดิม)” เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและพื้นที่เศรษฐกิจ การเดินทางสามารถเชื่อมต่อจากไทเปโดยระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ อันได้แก่ รถไฟใต้ดิน (Taipei MRT) รถไฟ และรถโดยสารประจำทางสายต่างๆ แต่วันนี้ก็ยังได้รับบริการจาก “Tripool” เช่นเคย จึงทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ
ที่หมายแรกจะเป็น “อุทยานเย่หลิว (Yehliu Geopark / 野柳地質公園)” ตั้งอยู่บริเวณ “ย่านว่านหลี (Wanli District / 萬里區)” ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนิวไทเป สถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว แต่เดิมเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเนื่องจากมีความสวยงามและโดดเด่นทางธรณีวิทยา เป็นแหลมหินทรายสีเหลืองทอดลึกเข้าไปในทะเล เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ถูกการกัดกร่อนจากลมและน้ำทะเล จนทำให้เกิดเป็นแท่งหินรูปทรงแปลกตา
ช่วงที่ไปมีทัวร์ลงเยอะมาก เวลาเดินก็จะค่อนข้างเบียดเสียด หามุมถ่ายรูปค่อนข้างยากระดับนึงจึงไม่ค่อยได้ภาพกลับมานัก บวกกับแดดแรงและสภาพอากาศที่ร้อนอีกด้วย คิดว่าหากมาถึงให้เร็วขึ้นหรือช่วงเย็นคงจะดีกว่านี้
ยังไงก็ตาม มาถึงหมู่บ้านชาวประมงแล้วต้องจัดอาหารอร่อยๆ กันสักหน่อย ที่นี่จะค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลกับปู ว่าแล้วก็เดินเข้าภัตราคารจีนแถวนั้นเลย มีหลายร้ายอยู่ แต่เลือกร้านที่มีปูตัวใหญ่ๆ อยู่ข้างบน
มื้อนี้ชอบปูกับปลาทอดกรอบ ซึ่งสามารถทานได้แทบทั้งตัว ปลานึ่งซีอิ๊วก็เนื้อนุ่มและสด ส่วนอาหารอื่นๆ ดูแล้วน่าจะประมาณไก่อบใบกะเพราะก็รสดีกลมกล่อมครับ รสชาติอาหารโดยรวมผ่านครับ การันตีด้วยกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยวที่แน่นและหมุนเวียนเข้าออกตลอด
ระหว่างรอรถมารับก็มีเวลาเหลือพอแวะช้อปของฝากที่ “7-Eleven” นิดนึงครับ ของกินและอาหารต่างๆ ค่อนข้างหลากหลายไม่แพ้ที่ญี่ปุ่น สามารถฝากท้องยามเร่งรีบหรือหิวโหยได้เลย แต่ที่สำคัญ เป้าหมายอยู่ที่ชานมหลากรส คนไทยนิยมซื้อกลับมาทานต่อที่เมืองไทยเนื่องจากสามารถเก็บไว้ทานได้หลายวัน และก็ราคาไม่แพง นอกจากนี้ ยังเป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่บ้านได้เช่นกัน งานนี้จึงเหมามาแทบครบทุกสีเลย บางรสหมดต้องไปหาเพิ่มที่สนามบิน แต่แนะนำว่าให้ซื้อด้านนอกเข้าไปดีกว่า เพราะร้านเซเว่นที่สนามบินต้องเดินจากที่เช็คอินไปไกลพอสมควร
ทริปวันนี้ค่อนข้างชะโงกทัวร์เล็กน้อย เป็นการเก็บตกก่อนขึ้นเครื่องในเวลาจำกัดสักนิดนึง ต่อไปก็จะไปยัง “ถนนคนเดินจิ่วเฟิ่น (Jiufen Old Street / 九份老街)” ซึ่งตั้งใจอยากไปที่สุด เนื่องจากเห็นรูปที่ใช้โปรโมทเส้นทางบินใหม่ “ไทเป” ของสายการบินแอร์เอเชียแล้วอยากตามรอยมาก เพราะเป็นเหมือนหมู่บ้านบนดอยซึ่งจุดเด่นอยู่ที่โคมสีแดงที่แขวนไว้เต็มไปหมด ตอนกลางคืนโดยเฉพาะพลบค่ำเปิดไฟแล้วงดงามยิ่งนัก นอกจากนี้ ยังเป็นแรงบันดาลใจของฉากในการ์ตูน Animation เรื่องดังของญี่ปุ่น “มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away / 千と千尋の神隠し)” อันโด่งดังในปี 2001 ด้วย แต่อย่างที่บอกว่าต้องไปขึ้นเครื่องช่วงเย็น โปรแกรมแวะหมู่บ้านนี้จึงตรงกับช่วงบ่าย “จบข่าว”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่ได้มาเยือนในช่วงเวลาสวยที่สุด แต่ที่นี่ก็มีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเก่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย การเดินเท้าขึ้นตามบันไดทีสูงขึ้นไป สองข้างทางเป็นร้านอาหารและโรงน้ำชา รวมไปถึงของที่ระลึกต่างๆ ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดเวลา
ความสุขของผู้มาเยือนเห็นจะเป็นกลิ่นอาหารหลากหลายชนิด (ทั้งคาวและหวาน) ที่ลอยมาเตะจมูกตลอดเวลา เห็นแล้วแทบอดใจไม่ไหวอยากแวะไปเสียทุกร้าน ทำให้เวลาหนึ่งชั่วโมงหมดไปอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัว อารมณ์ประมาณถนนคนเดินเชียงใหม่ แต่มีร้านอาหารข้างถนนแนว “Street Food” แบบสไตล์ไต้หวัน
จากนี้ไปยังพอมีเวลาให้ไปชะโงกได้อีกหนึ่งแห่ง จุดที่ไม่ไกลนักเห็นจะเป็น “หมู่บ้านแมวโหวตัง (Houtong Cat Village / 猴硐貓村)” ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเหมืองเก่า สุดท้ายจบลงที่เป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแมวนับร้อยอันเลื่องชื่อของไทเป สำหรับทาสแมวหากมีเวลาก็ลองมาแวะทักทายน้องเหมียวได้ครับ
หมู่บ้านน้องเหมียวนี่น่าจะเหมาะสำหรับกรณีที่มีเวลาเที่ยวเหลือๆ ทริปนี้อยู่ได้แค่เกือบครึ่งชั่วโมงจึงยังไม่ทันเจอแมวนัก คิดว่าต้องเดินลึกเข้าไปกว่านี้ แต่สำหรับทาสแมวแล้วนี่คงเป็นความสุขเมื่อได้มาเยือน น้องแมวที่นี่ค่อนข้างเชื่องกับคนมากๆ แต่ดูไปก็หน้าตาคล้ายแมวบ้านเราเหมือนกันครับ
มาถึงสนามบินยังพอมีเวลา จึงเดินซื้อขนมและของที่ระลึกก่อนเช็คอิน มีร้านรวงอยูตรงข้ามเคาท์เตอร์ของแอร์เอเชียพอดี เพื่อเวลาได้ของอะไรจะได้ยัดใส่กระเป๋าเดินทางไปก่อน หรือลงไปแวะเดินเซเว่น (ที่ไกลมาก) เพื่อซื้อชานมขวดกลับบ้านได้อยู่ครับ ส่วนชั้นล่างก็เป็นศูนย์อาหารให้แวะลงไปทานหากพอมีเวลา
ระหว่างเดินผ่านด่านก็จะไม่ค่อยยุ่งยาก มีให้เลือกทั้งแบบเคาท์เตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจ หรือเครื่องอัตโนมัติ ส่วนขั้นตอนการตรวจกระเป๋านี่ค่อนข้างเข้มงวดเล็กน้อย ต้องถอดเข็มขัดและรองเท้าด้วย แต่หากไม่ได้ขนของที่มีลักษณะคล้ายอาวุธหรือวัตถุอันตรายก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ
ผ่านขั้นตอนเสร็จก็ถึงเวลาละลายเงินไต้หวันที่เหลืออยู่ มีร้านขายของ Duty Free เรียงรายมากมายตลอดทาง รวมถึงร้านอาหารด้วย เท่าที่ลองแวะ พวกเครื่องไฟฟ้าจัดว่าราคาถูกกว่าเมืองไทย เห็นเงินเหลือแล้วไม่อยากแลกกลับให้เสียเรท ก็เลยจัด “SD Card” การ์ดหน่วยความจำเก็บข้อมูลมาใส่กล้องเป็นอันเสร็จพิธีครับ
ก่อนขึ้นเครื่องเห็นว่ายังเหลือเหรียญอยู่พอสมควร จึงเดินไล่ตามตู้กดน้ำและขนมจะได้ไม่ต้องพกเหรียญกลับ สังเกตว่าเครื่องอัตโนมัติบริเวณหน้าประตูขึ้นเครื่องของจะหมด ต้องเดินย้อนออกมาพอสมควร แนะนำว่าถ้าจะใช้เหรียญก็ทะยอยกดตามตู้ระหว่างทางจะดีกว่าครับ
เที่ยวบินกลับเชียงใหม่เป็นช่วงต้นเดือนใหม่ (ตุลาคม) พอดี ย่างเข้าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี สายการบินจึงถือโอกาสเปิดตัวเมนูอาหารใหม่ ให้บริการตั้งแต่ “1 ตุลาคม 2561” ไปจนถึงสิ้นปี มื้อนี้ได้ลอง “เย็นตาโฟหม้อไฟผัดแห้ง (Stir Fried Rice Vermicelli with Yentafo Sauce)” ณ ความสูง 30,000 ฟุต เหนือพื้นดินก็จะฟินหน่อยๆ ถือว่าน่าลองสำหรับกรณีอยากลองเปลี่ยนจากเมนูประจำ นอกจากนี้ก็ยังมีเมนูของหวานสุดพิเศษจากร้านขนมหวานชื่อดังของเมืองไทยอย่าง “After You” ที่ทำเมนูพิเศษมาเสิร์ฟอีกครั้ง ซึ่งมีให้ทานเฉพาะบนเที่ยวบินของแอร์เอเชียเท่านั้น นั่นก็คือ “อาฟเตอร์ยูแพนเค้กซูเฟล่ (After You Souffle Pancake)” ส่วนเครื่องดื่มก็จะเป็น “น้ำลิ้นจี่บลอสซั่ม (Lychee Blossom)”
ข้อมูลเพิ่มเติม (เมนูอาหาร) :
http://www.airasia.com/online-read/inflight-menu/fd-flight.pdf
ได้เวลาอำลาทริปไต้หวัน “ไปไต้หวันไปกับแอร์เอเชีย” พร้อมกับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เป็นอีกทริปที่ประทับใจเกินคาดหมายครับ เคยวางแผนอยากเที่ยวไต้หวัน แต่พอมาถึงแล้วกลับรู้สึกว่ามีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง มาครั้งเดียวเที่ยวไม่ครบ แต่ละแห่งก็จะมีช่วงเวลาฤดูกาลที่เหมาะสมต่างกันไป จึงไม่แปลกใจที่หลายคนที่เคยมาแล้วจะกลับไปอีกหลายๆ รอบ สำหรับตัวเองก็คาดว่าต้องมีครั้งที่สองในไม่ช้าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเที่ยวบินตรงออกจากเชียงใหม่ไม่ต้องแวะต่อที่กรุงเทพด้วยครับ

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้
ขอขอบพระคุณ สายการบิน “แอร์เอเชีย” ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ คอยอำนวยความสะดวกในทุกเรื่องตลอดการเดินทาง หวังว่าโอกาสหน้าคงจะได้ร่วมทริปด้วยกันอีกครับ
Special thanks to “New Taipei City Government (新北市政府市)” for the warm welcome and hospitality. Thanks to “Tripool (旅步)” for supporting us the convenient transportation during the trip around Taiwan. Thanks to “Youngquan Hotel” and “Westgate Hotel” while staying at Sun Moon Lake and Taipei City. Thanks to “Wenting Hot Pot (問鼎 麻辣鍋 養生鍋)” for the superb and unforgettable dinner.