แคนนอนไลฟ์ · รีดีไฟน์ ๒ “อักขรานุกรมไทย”
— ตอน ๑ : “อ่างขาง” ในวันฝนพรำ
เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมเดินทางพร้อมกับช่างภาพมืออาชีพอีก 9 ท่าน ซึ่งทางทีมงาน Canon เปิดรับสมัครและคัดเลือกจากทั่วประเทศ เพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลในบริเวณพื้นที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สำหรับนำมารวบรวมเป็นอักขรานุกรมภาพถ่ายตัวอักษรไทยในโครงการ 「Canon Life · Redefine 2」
「Canon Life · Redefine 2」
เป็นโครงการประกวดภาพถ่ายมุมมองใหม่ ผ่านตัวอักษรไทยทั้ง 44 ตัว ในหัวข้อ “อักขรานุกรม ก-ฮ” เพื่อชิงรางวัล “กล้อง Canon EOS 77D” รุ่นใหม่ล่าสุด เงินสด และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 4 แสนบาท โดยส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 สิงหาคม 2560
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://life.canon.co.th/redefine2
ทันทีเมื่อได้รับการติดต่อจากทาง Canon และรับทราบข้อมูลว่าเป็นการทำงานเกี่ยวกับโครงการหลวงและโครงการในพระราชดำริของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ผมจึงรีบตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเล เนื่องจากจะได้มีโอกาสตามรอยเส้นทางของพ่อ ร่วมเผยแพร่เรื่องราวของโครงการดีๆ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรำลึกถึงและเดินตามรอยในหลวงอีกครั้ง
ดอยอ่างขาง
“อ่างขาง” เป็นภาษาเหนือ หมายถึง อ่างรูปสี่เหลี่ยมตามลักษณะของดอยอ่างขาง ซึ่งเป็นดอยที่มีรูปร่างของหุบเขายาวรอบประมาณ 5 กิโลเมตร กว้าง 3 กิโลเมตร ตรงกลางของอ่างขางเดิมเป็นภูเขาสูงเช่นเดียวกับบริเวณโดยรอบ แต่เนื่องจากเป็นภูเขาหินปูน เมื่อถูกน้ำฝนก็จะค่อยๆ ละลายเป็นโพรง แล้วยุบตัวลงกลายเป็นแอ่ง มีพื้นราบ ความกว้างไม่เกิจ 200 เมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ที่มา : แผ่นพับแนะนำสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
การเดินทางไปอ่างขางในทริปนี้จะต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ซึ่งมักจะเป็นช่วงฤดูหนาวที่คนนิยมไปกันมากกว่า เพื่อจะได้ไปถ่ายรูปกับดอกไม้หลากสีและผลไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ สัมผัสอากาศหนาวบนดอย ชมทะเลหมอกยามเช้า และในวันที่อุณหภูมิลดต่ำลง หากโชคดีก็อาจได้เจอน้ำค้างแข็ง (หรือเหมยขาบ) สำหรับการไปเยือนอ่างขางในฤดูฝนครั้งนี้ คงต้องตามไปดูกันว่ามีอะไรรอคอยอยู่ ว่าแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกันเลยนะครับ

วันที่ 1 : ออกเดินทางสู่ “อ่างขาง”
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปตามทางหลวง 107 (ผ่านอำเภอแม่ริม แม่แตง เชียงดาว) เลือกผ่านทางบ้านอรุโณทัย (ทางหลวง 1178) โดยส่วนตัวชอบเส้นทางนี้เพราะทัศนียภาพข้างทางงดงาม หนทางที่ไม่คดเคี้ยวและลาดชันจนเกินไป ทั้งยังสามารถจอดรถถ่ายรูปข้างทางได้บ่อยๆ
เมื่อถึงสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้แนะนำสถานที่รอบๆสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ผมจึงมีโอกาสได้แวะชมจุดที่น่าสนใจใหม่ๆ ทั้งสวนอินทรีย์ (Organic Farm) และหมู่บ้านชาวเขาอีก 2 แห่ง ซึ่งอยู่บริเวณนอกสถานีเกษตรหลวง ได้แก่ บ้านขอบด้งและบ้านนอแล
บ่ายแก่ๆ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ เป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การเก็บภาพเนื่องจากแสงไม่แรงจนเกินไป ผมจึงคว้ากล้องแยกตัวออกมาขับรถวนรอบสถานี ฤดูนี้ถึงแม้ว่าดอกไม้เมืองหนาวและซากุระยังไม่เบ่งบาน แต่ก็ยังมีเจ้าบ้านอย่างพืชผักเมืองหนาวและไม้ดอกไม้ประดับหลากสี คอยต้อนรับผู้มาเยือนตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ประจำฤดูกาล ได้แก่ พีช (ลูกท้อ) สาลี่ พลับ กีวีฟรุต พลัม (ลูกไหน) ให้พบเห็นริมถนนหรือแปลงทดลองตลอดสองข้างทางที่ขับรถผ่าน บ้างก็เพิ่งออกผล บางส่วนก็กำลังสุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยว

ช่วงเย็นผมเลือกไปชมบ้านนอแล เพื่อไปรอแสงสุดท้ายของวัน แต่หน้าฝนแบบนี้ต้องอาศัยดวงกันพอสมควรทีเดียว จอดรถรออยู่นานจนถอดใจยอมแพ้ก็ไม่มีวี่แววพระอาทิตย์จะโผล่ออกมา จนกระทั่งตอนขับรถกลับ เห็นแสงโผล่มาพอเป็นความหวังอันริบหรี่ จึงเปลี่ยนใจรีบหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าข้างทาง ตั้งกล้องยืนลุ้นอยู่เพียงคนเดียว สักพักเริ่มมีแสงเป็นลำพุ่งออกจากก้อนเมฆผ่านแนวสันเขาไกลออกไป
นับว่าเป็นการรอคอยที่คุ้มค่า เพราะจากนั้นไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง ทำให้ครึ่งชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จากไป เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขกับการกดชัตเตอร์ ถือว่าได้ส่งท้ายวันแรกด้วยความประทับใจมากครับ




วันที่ 2 : เช้าแรกบนดอย
เช้านี้ต้องออกจากสถานีตั้งแต่ตีห้า เพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ “จุดชมวิวม่อนสน” รอจนท้องฟ้าเริ่มสว่างถึงได้รู้ว่า ช่วงเดือนมิถุนายนพระอาทิตย์จะขยับไปขึ้นด้านหลังเหลี่ยมเขาพอดี ถ้าอยากเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นสวยๆ จากมุมนี้คงต้องมาแก้มือกันใหม่ตอนหน้าหนาวแทนครับ


เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ จึงออกไปสำรวจบริเวณบ้านขอบด้ง เพื่อไม่ให้พลาดชมพระอาทิตย์ขึ้นในวันรุ่งขึ้นครับ


หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ปรากฎว่าฝนเทลงมาอย่างหนัก จึงหนีไปหลบฝนใต้ผ้าห่มที่ห้องพักก่อนจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีฝนก็หยุดพอดี ได้เวลาออกตระเวนถ่ายรูปอีกรอบ ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถเห็นนกอยู่บริเวณบ้านพัก จึงรีบคว้ากล้องไปถ่าย ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับนกรอคอยนิ่งๆ อยู่นาน จนนกเริ่มใจอ่อน (มีอย่างนี้ด้วย) ในที่สุดก็ไว้ใจบินมาอยู่ในระยะไม่ไกลนัก พอได้ภาพกลับมาสักใบก็ดีใจสุดๆ ครับ

ตอนเย็นกลับไปบ้านนอแลอีกครั้ง สภาพอากาศค่อนข้างไม่เอื้ออำนวย คงเป็นช่วงที่พายุเข้าพอดีรอดูพระอาทิตย์อยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอ


ระหว่างนั้นมีเด็กชาวเขาอายุประมาณ 5-8 ขวบ (ใกล้เคียงกับลูกชายของผมเลย) ร้องเพลงแซวตอนที่กำลังเดินกลับไปที่รถ ผมจึงถือโอกาสชวนคุยและแอบตีเนียนทำความรู้จัก จากนั้นรีบปรับกล้องเป็นโหมด “คั่วป๊อบคอร์น (High Continuous)” เพื่อยิงรัวๆ เก็บทุกอิริยาบทไว้ได้ทันท่วงที เวลากดชัตเตอร์ได้ยินเหมือนเสียงข้าวโพดคั่วเมื่อถ่ายต่อเนื่องความเร็วสูงจากกล้อง “Canon EOS 5D Mark IV” ฟังแล้วไพเราะดีเหลือเกินครับ
ป.ล. มาทริปกับ Canon ต้องช่วยขายนิดนิง แต่ของเขาดีจริงๆ ลองจับแล้วรับรองว่าจะรู้สึกเหมือนโดนป้ายยาจนวางแทบไม่ลงเลยทีเดียว
สำหรับค่ำวันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีแสงสวยๆ เหมือนเมื่อวาน แต่การได้เพื่อนใหม่ต่างวัย และเก็บภาพรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติของเด็กๆ ก็ถือว่าไม่ได้กลับบ้านมือเปล่านะครับ

วันที่ 3 : ตามล่าหาทะเลหมอก
หลังจากฝนตกหนักตลอดทั้งคืน เช้านี้หมายมั่นว่าคงได้เจอกับทะเลหมอกที่รอคอยมานาน จึงขับรถออกจากสถานีไปคนเดียว พกความกล้าตอนตีห้ามืดๆ ไปล้างตาที่ “ม่อนสน” อีกรอบครับ ระหว่างทางบางช่วงหมอกลงจัดจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น ต้องขับช้าๆ เพื่อความปลอดภัย
ตัดภาพไปที่จุดชมวิว เช้านี้ทะเลหมอกไม่ยอมมาตามนัดอีกแล้ว แต่ถือว่าโชคดีมาถึงเร็วมาก ท้องฟ้ายังค่อนข้างมืด จึงได้บรรยากาศดาวบนดินจากไฟในตัวเมืองฝางเบื้องล่างกลับมาแทน

จากรูปการแล้วรอถ่ายต่อบริเวณนี้คงไม่ต่างอะไรจากเมื่อวาน จึงรีบย้ายฐานบึ่งไป “บ้านขอบด้ง” เพื่อลุ้นพระอาทิตย์ขึ้นแทน พอไปถึงแล้วไม่เสียเที่ยวเลย เนื่องจากได้บรรยากาศทะเลหมอกเต็มผืน ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่ หมอกจะลงมากต่างกันขนาดนี้

เช้านี้ถ่ายรูปรอไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเปลี่ยนสี ก็คงยังไม่มีวี่แววจะเห็นพระอาทิตย์อีกตามเคย แต่โชคยังพอมีให้เห็นแสงสีทองที่สวยงาม ได้บรรยากาศอีกแบบในช่วงหน้าฝนครับ

สำหรับจุดชมวิว “บ้านขอบด้ง” ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นต้นฤดูฝน จะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าได้ดีกว่าบริเวณ “ลานกางเต็นท์ม่อนสน” ซึ่งจะถูกแนวเขาบดบังพอดีเนื่องจากองศาการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่ทัศนียภาพโดยรวมเมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่หากเปรียบเทียบความสะดวกในการเดินทาง การขับรถไปบ้านขอบด้งจะอยู่ใกล้และใช้เวลาน้อยกว่ามาก ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบเพื่อตื่นตอนเช้า

ระหว่างเดินทางกลับ ผมมองเห็นป้ายทางเข้า “แปลงสตรอว์เบอร์รี” จึงลองแวะเข้าไปดู แม้ว่าตอนแรกเจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงหน้าฝนไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากแปลงเปล่าที่รกร้าง แต่เนื่องจากเช้านี้หมอกลงจัดมาก วิวสองข้างทางเลียบแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่าซึ่งมุ่งหน้าไปยังแปลงสตรอว์เบอร์รีงดงามเกินคำบรรยาย แค่เลี้ยวเข้ามาก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ หมอกค่อยๆ ไหลผ่านทิวเข้าและต้นไม้ สวยจนต้องจอดรถถ่ายรูปทุกๆ 100 เมตร กันเลยทีเดียว

บรรยากาศไร่สตรอว์เบอร์รีช่วงหน้าฝนนี้ดูเงียบเหงา ต่างจากฤดูท่องเที่ยวที่แสนจะคึกคักจนต้องแย่งกันหามุมถ่ายรูป มีผมคนเดียวเดินอยู่ตามลำพัง เห็นแปลงรกร้าง มีเพียงหญ้าคาขึ้นแทนที่ บางส่วนก็เหลือแต่แปลงดินเปล่าๆ เท่านั้น

ตอนสายอีกนิด ผมย้อนกลับมาที่ “บ้านขอบด้ง” อีกครั้ง หวังว่าจะได้ภาพบรรยากาศวิถีชีิวิตของชาวเขากลับไป แต่เนื่องจากไม่ใช่แนวถนัด จึงเปลี่ยนไปถ่ายลูกหมูป่าที่ชาวเขาเลี้ยงไว้แทน ไม่แน่ใจว่าเป็นฤดูแพร่พันธุ์รึเปล่า (อยากได้คำตอบแต่ไม่รู้จะถามใครดี) มาดอยคราวนี้เห็นลูกหมูตัวน้อยน่ารักหลายสิบตัวออกมาเดินเล่นหาอาหารกินอย่างมีความสุข ผมก็เลยติดลมกับน้องหมูฝูงนี้เกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว



ออกทริปกับ Canon มีโอกาสได้ยืมเลนส์ “EF 100 f/2.8L Macro IS USM” ถือว่าเป็นเลนส์ที่อยากลองสัมผัสมานานแล้ว หน้าฝนแบบนี้จึงหวังว่าจะได้ลองถ่ายมาโครกับต้นไม้สีเขียวชุ่มฉ่ำกลับไปสักนิด จึงขับกลับไปวนในสถานี พอได้ลองแล้วก็เกิดอาการมึนๆ (นี่สินะอาการคนโดนป้ายยา) ชอบตรงเลนส์เกรดโปรริมแดง “ตระกูล L” สีสันอิ่มเอิบ มาพร้อมระบบกันสั่นช่วยให้ถ่ายรูปในสภาพแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งจับคู่กับ “Mark IV” เพียงดัน ISO ขึ้นนิดหน่อยก็ถ่ายมือเปล่าแบบชิวๆ ได้สบาย กลับบ้านไปคงต้องเริ่มหยอดกระปุกอีกครั้งแน่นอนครับ


ช่วงบ่ายหลังฝนหยุดตกก็มีแสงส่องมาสวยๆ เป็นความหวังอีกครั้ง แต่สุดท้ายฝนฟ้าก็ไม่เป็นใจเช่นเคย หมอกลงจัดมากจนไม่เห็นพระอาทิตย์ตก ระหว่างทางกลับต้องเปิดไฟตัดหมอกช่วย ช่วงหมอกหนาๆ มองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะเพียง 10 เมตร เท่านั้นครับ




วันที่ 4 : เก็บตกและเดินทางกลับ
เช้าวันสุดท้ายไม่คาดหวังว่าจะได้เจอพระอาทิตย์ขึ้นเนื่องจากฝนตกตลอดเวลา ก็เลยตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย รอฟ้าสว่างแล้วค่อยออกไปม่อนสนที่ประจำ หมอกลงจัดต่อเนื่องจากช่วงเย็นวาน วันนี้ไม่รีบร้อนแวะจอดเรื่อยๆ ตลอดทางครับ



ถึงที่หมายประมาณ 7 โมงเช้า หมอกลงจัดราวกับกำลังเดินอยู่ในเมฆ ทริปนี้ไม่ได้ภาพทะเลหมอกปกคลุมเบื้องล่างจุดชมวิวแห่งนี้อย่างที่ผมวางแผนไว้ตอนแรกครับ แต่ถือว่าธรรมชาติไม่ได้ใจร้ายจนเกินไปนัก ยังส่งหมอกชุดใหญ่มาให้เป็นของขวัญปลอบใจแทน



เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจอ่างขางหน้าฝนไปด้วยดี แม้ว่าสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าใดนัก เจอฝนเกือบตลอดทริป แต่ก็ยังโชคดีได้ภาพเกินครึ่งทางของแผนที่วางไว้ เหนืออื่นใดคือความสุขใจเมื่อกลับมาเยือนอ่างขางอีกคราในปีนี้ รู้สึกปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่ได้เดินตามทางของพ่อหลวงครับ
หลังจากเน้นท่องเที่ยวสบายๆ โดยรอบสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พื้นที่ซึ่งในหลวงได้ทรงพัฒนาจากภูเขาหัวโล้นแทบไม่มีต้นไม้สักต้นเมื่อราว 50 ปีก่อน จนถึงวันนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวปกคลุมกลายเป็นผืนป่าต้นน้ำลำธาร ในตอนหน้าผมจะพาไปชมผลผลิตที่มาจากโครงการหลวง ช่วยสร้างงานให้กับชาวเขา เปลี่ยนอาชีพจากการตัดไม้ทำลายป่าปลูกฝิ่น ทดแทนด้วยการทำไร่ปลูกพืช ผัก และผลไม้เมืองหนาว เพิ่มรายได้และช่วยให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้
สุดท้าย ขอขอบคุณ โครงการ “CanonLife : Redefine 2” ทีมงาน CanonLife และ Canon Marketing (Thailand) Co., Ltd. ทุกท่าน ที่ให้ผมได้มีโอกาสเดินตามรอยเท้าพ่อหลวง เปิดประสบการณ์สัมผัสอ่างขางฤดูฝนเป็นครั้งแรก รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดีๆ เช่นนี้ครับ
อุปกรณ์ถ่ายภาพ :
Canon EOS 5D Mark IV
EF 17-40 f/4L USM
EF 24-70 f/2.8L USM
EF 70-300 f/4-5.6L IS USM
EF 100 f/2.8L Macro IS USM
ติดตามการเดินทางและถ่ายภาพของผมได้ที่ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
IG : http://www.instagram.com/oatenroute
#OATENROUTEANGKHANG #OATENROUTE
#LIFESTER #REDEFINE #REDEFINE2
#CANONLIFE #CANONTHAILAND #CANON