กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์”
— โรงแรมดิสนีย์แลนด์ · รีสอร์ทแห่งที่ 3 : สัมผัสแห่งการออกสำรวจและผจญภัย “ดิสนีย์ เอ็กซ์พลอเรอร์ส ลอดจ์” —
เป็นรอบที่สามแล้วสำหรับ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland)” ทริปนี้พาลูกเที่ยวก็เลยกินนอนอยู่ในดิสนีย์แลนด์รีสอร์ทไม่ออกไปไหนเหมือนเคยครับ กลับมาคราวนี้ตั้งใจเลยว่าจะไปลองเครื่องเล่นเปิดใหม่ “Iron Man Experience” ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมานี้เอง รวมไปถึงเก็บตกเครื่องเล่นและการแสดงที่หยุดปรับปรุงรอบก่อนด้วย ระหว่างที่ค้นข้อมูลวางแผนการเดินทางก็บังเอิญเจอหน้าเว็บ – hongkongdisneyland.com – ว่ามีรีสอร์ทแห่งใหม่ “Disney Explorers Lodge” พึ่งสร้างเสร็จแล้วกำลังจะเปิดตรงช่วงที่จะไปพอดีครับ เลยตั้งใจว่ารีสอร์ทเปิดใหม่แบบนี้ไม่พลาดแน่นอน กังวลอยู่อย่างเดียวกลัวห้องจะไม่ว่างเท่านั้นเอง เพราะนักท่องเที่ยวคงแห่มาพักเต็มไปหมด
ทริปนี้ขอแยกเป็น 2 ตอนนะครับ เดิมทีตั้งใจว่าจะเล่ารวดเดียวจบ แต่เปลี่ยนใจแยกดีกว่าจะได้ไม่ยาวเกินไป และเพื่อความสะดวกในการโฟกัสในส่วนของ “ดิสนีย์ เอ็กซ์พลอเรอร์ส ลอดจ์” ที่เปิดใหม่ด้วยครับ
Millions thanks to “Hong Kong Disneyland” and “Joey” for the magical moment at Hong Kong Disneyland, also wonderful nights at Disney Explorers Lodge.
นอกเหนือจากนี้ อยากขอบพระคุณทุกคนที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้จบอย่างประทับใจมากๆ
“ไทยแอร์เอเชีย” – airasia.com – สำหรับการเดินทางบินตรงที่ทุกคนก็บินได้ โดยเฉพาะทีมงานที่คอยเป็นธุระเดินเรื่องให้อย่างเรียบร้อยเช่นเคยครับ
“ฮ่องกงแฟนคลับ” – hongkongfanclub.com – ผู้เชี่ยวชาญเรื่องฮ่องกง ไม่ว่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมต่างๆ บริการรับจองห้องพักราคาพิเศษกว่าที่อื่น โดย “ลุงเด้งและป้าไก่” ใจดีเสมอมา ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างเป็นกันเองในทุกเรื่อง รวมถึง Strawberry สดลูกยักษ์ที่หิ้วมาฝากกันด้วยครับ
การเดินทางจะเริ่มต้นจากเชียงใหม่เลยครับ สายการบิน “แอร์เอเชีย” มีบินตรงทุกวันแต่เช้ามืดซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะกับคนไทยไปเที่ยว ล้อแตะพื้นช่วงสายก็ลุยได้เลยสะดวกมากครับ #ไปฮ่องกงไปกับแอร์เอเชีย
รายละเอียดเที่ยวบิน :
FD 2305 : CNX-HKG / 0600-0945 — Duration : 2h 45m
FD 2306 : HKG-CNX / 1035-1225 — Duration : 2h 50mAirAsia : http://www.airasia.com
การเดินทางใช้เวลาไม่นาน ทานข้าวเสร็จแล้วงีบไม่นานก็โดนปลุกแล้ว ปกติจะถึงราวช่วงสายตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าบ้านเรา (+1 ชั่วโมง) ตรงนี้ขอตัดภาพไปที่พัก “Disney Explorers Lodge” ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ก่อนดีกว่า สำหรับที่เหลือรออ่านในเวอร์ชั่นเต็มอีกไม่นานเกินรอแน่อนครับ
การเดินทางไปยัง Hong Kong Disneyland Resort หากเดินทางมาจากสนามบิน ขอแนะนำให้นั่ง Taxi สะดวกสุด ใช้เวลาโดยประมาณ 15-30 นาที ขึ้นกับสภาพการจราจร แต่รับประกันว่าโอกาสเจอคนขับไม่รับผู้โดยสารเหมือนบ้านเราเกิดขึ้นยากมาก เพราะว่าไม่ต้องกลัวส่งกะไม่ทัน แก๊สหมด ไปไกลขอบวกเพิ่ม หรืออีกสารพัดล้านเหตุผล ที่สนามบินจะมีป้ายบอกทางชัดเจนเพื่อไปขึ้น Taxi และก็มีเจ้าหน้าที่คอยจดหมายเลขเพื่อตรวจสอบหากมีปัญหา ค่าบริการจากมิเตอร์บวกโน่นนี่ เช่น ค่าชาร์จกระเป๋าและอื่นๆ อะไรก็ไม่รู้อ่านไม่ออก เบ็ดเสร็จประมาณ HK$ 150 ไม่น่าต่างจากนี้มากครับ เอาเป็นว่าไม่โดนเทแน่นอน แล้วก็ประหยัดเวลากว่านั่งรถไฟฟ้า MTR ซึ่งต้องขึ้นลงหลายต่อ รวมแล้วก็เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว
หากนั่งรถฟรี Shuttle วนภายในบริเวณ Hong Kong Disneyland Resort ซึ่งเวียนเป็นวงกลมรับส่งจากโรงแรมต่างๆ ไปยังสวนสนุก ในส่วนของ Disney Explorers Lodge มีการจัดวางระบบผู้โดยสารขึ้นลงได้เป็นระบบกว่ารีสอร์ทแห่งอื่น โดยจะจอดเคลียร์ให้ผู้โดยสารลงตรงป้ายก่อนถึงทางเข้าโถงของโรงแรมก่อน จากนั้นจึงจะไปจอดยังจุดรับผู้โดยสารที่อยู่อีกปีกนึงไม่ไกลนัก ทำให้ไม่แออัดเบียดเสียดลดการมั่วนิ่มไปได้บ้างครับ



เมื่อมาถึงโรงแรม สามารถเลือกเอาของมาฝากเก็บที่ “Luggage Storage” บริเวณทางเข้าโรงแรมก่อนได้ (มีให้บริการทุกแห่งรวมถึง Hong Kong Disneyland Hotel และ Disney’s Hollywood Hotel ด้วยเช่นกัน) ถึงแม้ว่าจะยังเช็คอินไม่ได้ก็ตาม เพื่ออำนวยความสะดวกเวลาเสร็จกลับจากสวนสนุกแล้วเหนื่อย จะได้ไม่ต้องแบกของหนัก แต่ถ้าไม่มีปัญหา ล่าสุดตอนนี้บริเวณก่อนถึงทางเข้าสวนสนุกจะมีจุดรับฝากกระเป๋า ซึ่งอยู่เลยจากสถานีรถไฟฟ้า MRT ที่ Hong Kong Disneyland Station ไปนิดเดียว (ไม่เกิน 100 เมตร)

อารมณ์แรกที่มาถึง Disney Explorers Lodge ทุกคนจะตื่นเต้นมาก เพราะโรงแรมใหม่และแขกค่อนข้างคึกคัก พึ่งจะเริ่มเปิดอุ่นเครื่องให้บริการไม่ถึงครึ่งเดือนเลย และก็จะมีพิธีเปิดเป็นทางการ “16 พฤษภาคม” ที่ผ่านมา หลังจากเดินทางกลับเพียงวันเดียวเอง เห็นตึกด้านนอกและซุ้มทางเข้าจะได้อารมณ์ประมาณผจญภัยเหมือนชื่อรีสอร์ทครับ ดีใจมากที่ทริปนี้เก็บรีสอร์ทของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ครบทุกแห่งสักที
เดินเข้ามาก็จะโดนดักก่อนด้วย “Trading Post” ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงคอยดึงดูดให้แขกได้ซื้อของกันจนวินาทีสุดท้ายก่อนกลับเลย ความเห็นส่วนตัวผมว่ามีสินค้าให้ซื้อหลากหลาย หากไม่มีเวลาซื้อในดิสนีย์แลนด์ อาจมาเดินเลือกที่นี่ก็ได้ของครบอยู่ครับ ของฝากส่วนใหญ่ผมก็ซื้อที่นี่เพราะว่าจะได้ไม่ต้องขนของพะรุงพะรังเวลาเล่นในสวนสนุก เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยมาเก็บรายละเอียดช่วงท้ายเรื่องอีกทีดีกว่าครับ
จากทางเข้าเดินตรงไปเรื่อยก็จะเป็นส่วน Main Lobby ที่สวยและใหญ่อลังปังมาก มองไปด้านบนเห็นเพดานโค้งๆ ซึ่งออกแบบให้เหมือนท้องเรือคว่ำ ไกด์สาวหมวยคนสวยเล่าว่า เวลาเดินทางด้วยเรือแล้วนักเดินทางอยากพักผ่อนก็จะคว่ำเรือแล้วพักผ่อนอยู่ด้านล่าง จึงได้ออกแบบให้ได้เรื่องราวประมาณนี้ ในส่วนของโรงแรมจะมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่เวลานับจะมีถึง “ชั้น 8” เพราะว่าคนจีนถือว่าเลข 4 ความหมายไม่ดีก็เลยข้ามไป


บริเวณโถงนั่งรอนอกจากเป็นที่นั่งเล่นแล้ว ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำอยู่ใกล้ๆ เช่น ระหว่างเด็กรอก็อาจพาไปตรง “Dreamer’s Spring” ส่วนปลายสุดของโถงกลาง จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตามช่วงเวลา เช่น วาดรูประบายสีหรืองานประดิษฐ์ต่างๆ

บริเวณด้านขวาของโถงกลางก็จะเป็นส่วนเช็คอิน พนักงานก็จะแต่งตัวออกแนวซาฟารีกันหมด ตามปกติแล้วเวลาเช็คอินก็จะประมาณบ่ายสามเป็นต้นไป แต่ถ้ามีห้องว่างก็สามารถไปรับกุญแจและเบอร์ห้องได้เลยครับ โดยทั่วไปช่วงที่แขกเยอะก็มักจะไม่ได้ก่อน เนื่องจากแม่บ้านทำความสะอาดไม่ค่อยทัน ระหว่างที่ต่อแถว หากมีเด็กก็สามารถปล่อยให้ไปนั่งตรงมุมทีวีซึ่งทางโรงแรมจัดไว้เป็นมุมเล็กๆ (พร้อมคอกกั้นให้ออกได้ทางเดียวจะได้อยู่ในสายตาผู้ใหญ่) ด้านข้างถัดไป เพลิดเพลินกับการ์ตูนที่เปิดวนไปจะได้ไม่เบื่อครับ
ระหว่างรอห้องพัก กว่าจะได้เวลาเช็คอินก็หลายชั่วโมง มีโอกาสไปลองใช้บริการห้องน้ำใหม่ ต้องบอกเลยว่ามันสุดยอดทีเดียว ทั้งความใหม่สดเสมอและดูดี เหมาะสำหรับการทำธุระส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ชักโครกที่พอลุกก็กดน้ำให้เลย จนกระทั่งก๊อกน้ำทั้งน้ำและสบู่มาเองหมดสบายมือ ความสูงของสุขภัณฑ์ทั้งหลายทำไว้สำหรับเด็กด้วย ซึ่งที่นี่จะให้ความสำคัญกับความสะดวกแก่เด็กเล็กเป็นอย่างมาก เพราะแขกที่มาส่วนใหญ่ก็จะเที่ยวแนวครอบครัวทั้งนั้น สำหรับชาวพ่อบ้านใจกล้าก็มีที่สำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกในห้องน้ำชายด้วยเช่นกันครับ
ทางขึ้นลิฟท์สำหรับคนที่พักชั้นอื่น โดยชั้นที่เข้ามาจะเป็น “ชั้น 3” แต่ละโซนก็จะมีป้ายบอกไว้ตรงทางแยก อย่างตรงนี้จะบอกว่าสำหรับโซน “Asia & Oceania” ซึ่งโรงแรมแบ่งเป็น 4 โซน ทั้งหมดครับ ภายในลิฟท์ออกแบบเป็นเหมือนว่าเรายืนอยู่ในตะกร้าบอลลูนครับ
“รู้หมือไร่?”
โรงแรม Disney Explorers Lodge สามารถรองรับแขกที่มาพักได้มากถึง 750 ห้อง อาคารได้ออกแบบแยกเป็นโซนตามปีกต่างๆ ของอาคาร แบ่งหลักออกเป็น 4 โซน ได้แก่ Asia, Oceania, South America และ South Africa ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปตามทวีปหรือชื่อนั้น


เรื่องราวในตำนาน ~ VDO Clip :
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว พี่เป็ด Donald พยายามขโมยบะหมี่แสนอร่อยที่ Minnie พึ่งทำเสร็จมาใหม่ๆ โชคดีที่ Mickey มาช่วยไว้ทันเวลา แต่ท้ายสุดไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะได้กินบะหมี่ชามนี้
Credit : Hong Kong Disneyland
เนื่องจากโรงแรมค่อนข้างกว้างมาก จึงต้องจำทางให้ดีว่าเลี้ยวซ้ายหรือขวาตรงไหน รวมไปถึงจำทางออกฉุกเฉินหรือบันไดหนีไฟให้ดีทุกครั้ง ที่สำคัญเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินต้องมีสติครับ ห้องผมอยู่สุดปลายของปีก (โซน Oceania) ระหว่างทางเดินก็จะมีทางออกอยู่ไม่ไกลนัก ชอบการตกแต่งบริเวณทางเดิน ไฟทางเดินจะออกแบบเป็นรูปกล้องส่องทางไกล ส่วนหมายเลขห้องก็ทำเหมือนป้ายติดกระเป๋าเดินทางครับ
พอได้กุญแจห้องพักแล้ว ลองมาดูในส่วนห้องพักกันบ้างครับ จากประสบการณ์ ถ้าไปกันแบบครอบครัวไม่แนะนำให้นอนพักเตียง King เพราะว่าเวลานอนจะค่อนข้างเบียดถึงแม้ว่าลูกจะเล็กอยู่ ให้เลือกห้องพักแบบสองเตียง เนื่องจากเตียงจะเป็นแบบ Queen ซึ่งเพียงพอกับนอนสองคนสบายๆ หากกลัวลูกตกเตียงสามารถขอที่กันเด็กตกเตียงซึ่งสามารถทำได้ระหว่างขั้นตอนทำจองห้องพัก บางทีทางแม่บ้านอาจเตรียมไว้ให้แต่แรกหากเห็นว่าพักพร้อมกับเด็กเล็ก (กรณีผมนี่ดึงที่กันตกออกจะได้ถ่ายรูปสะดวก) กรณีไม่มีแล้วต้องการสามารถขอได้ครับ
ภายในห้องพักส่วนใหญ่จะเห็นประตูเชื่อม (Connecting Door) ไม่ต้องแปลกใจหรือเกรงว่าเสียงจะดังรำคาญ เพราะระหว่างที่พักก็ไม่มีเสียงรบกวนจากแขกห้องด้านข้าง ทางโรงแรมได้ออกแบบให้มีห้องที่เชื่อมถึงกันประมาณ 70% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด ทั้งนี้เพราะว่าแขกส่วนมากที่มาพักก็จะมาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มและอยากให้ห้องเปิดถึงกันได้
ข้อมูลเพิ่มเติม :
http://www.hongkongdisneyland.com/hotels/disney-explorers-lodge/rates-rooms/

มาถึงพวกข้าวของเครื่องใช้และ Amenities ที่ติดมากับห้องพักกัน ในบรรดาโรงแรมทั้ง 3 แห่ง ชอบที่นี่มากสุดเลยครับ (หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะไม่เปลี่ยนของเป็นอย่างอื่น) ด้านนอกเป็นกล่องเหล็กลวดลายสวยงามอย่างที่เห็น ภายในก็จะมีพวกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน และเครื่องใช้อื่นๆ ที่จำเป็น จากที่ได้สอบถามไกด์ได้ความว่า ห้องพักนึงจะได้เพียงอันเดียวต่อการเข้าพัก แต่ของด้านในขอเติมได้ตลอด ในคืนที่สองไม่คิดว่าจะได้เพิ่ม เผอิญแม่บ้านเอามาวางไว้ให้อีกก็เลยจัดไปไม่ให้เสีย สำหรับใครต้องการเพิ่มนอกเหนือจากนี้ สามารถสอบถามเพื่อซื้อกลับบ้านได้เช่นกันครับ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ห้องอาหารต้องมีเรื่องราวเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของการสำรวจตามชื่อโรงแรม ตั้งใจให้สัมผัสอารมณ์ของมหากาพย์ เป็นอาหารที่มาจากวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก รูปแบบจะออกมาในแนวออกสำรวจเป็นห้องอาหาร 3 สไตล์ ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร จากห้องโถงชั้นปกติก็ลงบันไดหรือลิฟท์ลงมาชั้นเดียวครับ
เที่ยงวันแรกกินที่ห้อง “Chart Room Cafe” ซึ่งจะออกแนวเหมือนพวก Canteen เน้นกินง่ายสะดวกรวดเร็ว ตรงนี้จะเหมือนเป็นกึ่งบริการด้วยตัวเอง หากซื้ออาหารง่ายๆ หรือสำเร็จรูป เช่น แซนวิช เค้ก ขนมหวาน เบียร์ น้ำหวาน ก็ยกใส่ถาดมากินเองได้เลย หากกินเป็นอาหารชุด “Chart Room All Day Menu” ตามสั่งแบบง่ายๆ ก็จะมีเบอร์มาวางแล้วพนักงานมาส่ง เป็นห้องอาหารที่ตรงไหนว่างก็ไปนั่งได้เลยตามชอบ
มื้อนี้ทานกันหลายคนก็เลยเลือกเมนูต่างๆ มาแบ่งปันกัน ที่ชอบสุดเห็นจะเป็นอาหารเด็กที่ทำออกมาน่ารักถูกใจคนทานมากเลย แล้วก็ปิดท้ายด้วยชุดใหญ่ไฟกระพริบเป็นของหวาน
Chart Room All Day Menu ~ Served with Soup of the Day
The Navigators Oven Flatted Bread
– HK$ 129
Baked Lemon Chicken Vegetable Fried Rice
– HK$ 139
Sweet and Sour Fried Fish
– HK$ 139





บริเวณหน้าต่างของ Chart Room Cafe จะมองเห็นแม่ครัวกำลังทำขนมกันอยู่ด้วย อย่างที่บอกว่าที่นี่มีขนมเค้กน่าทานเต็มไปหมดเลย เสียดายมื้อเที่ยงจัดหนักเกินไปจนไม่เหลือที่ว่างให้ทานต่อ





มื้อค่ำวันเดียวกัน มีโอกาสไปลองห้องอาหารสีหวานแหววสดใส “World of Color Restaurant” เป็นห้องที่ชอบสุดในทั้งหมด (เป็นการส่วนตัว) เมื่อดูจากการตกแต่ง ห้องอาหารนี้จะมาแนว À la carte โดยเพื่อความสะดวกเลยเลือกเป็นอาหารชุดที่จัดมาไว้อยู่แล้ว เริ่มทานกันตั้งแต่ Appetizer ไปจนจบที่ของหวานกันเลยทีเดียว
ขอปิดท้ายส่วนห้องอาหารกันในค่ำคืนสุดท้ายของการผจญภัยทริปนี้ครับ มื้อเย็นนี้จะเป็นอาหารจีนที่ห้อง “Dragon Wind Restaurant” เป็นอีกวันที่ฟินกับอาหารมาก อร่อยแต่ราคาก็ไม่เบาเช่นกันครับ สั่งกันแบบรัวๆ ก็เลยไม่เหลือท้องสำหรับของหวานแล้ว
“Wok-Fried Beef with Garlic, Mushroom and Seasonal Vegetables”
แต่น่าเสียดายสุดที่ตามแผนจะได้ทานอาหารเช้าที่ห้องนี้ เผอิญว่าตรงกับวันแม่ของฮ่องกง เหมาะเจาะกับช่วงโรงแรมใกล้เปิดอย่างเป็นทางการด้วยเป็นสองเด้ง คนก็เลยเยอะจนห้องอาหารเต็มทุกวันเลยครับ ที่สำคัญ Buffet มื้อเช้าจะเป็นแบบ “Dining with Character” ซึ่งจะได้ถ่ายรูปกับพวก Mickey และผองเพื่อนในเครื่องแต่งกายแนวผจญภัยด้วยครับ สำหรับห้องนี้ต้องกลับมาแก้ตัวรอบหน้าแน่นอน

ส่งท้ายตอนนี้กันด้วยร้านขายของที่ระลึก “Trading Post” ตรงประตูทางออก ซึ่งไม่ยอมให้เรากลับกันมือเปล่าแน่นอนครับ สำหรับใครซื้อของไม่ทัน ที่โรงแรมปกติแทบจะมีพวกของยอดนิยมมาวางขาย และก็มีพวกของบางอย่างที่ขายเฉพาะ Disney Explorers Lodge เท่านั้นครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม :
http://www.hongkongdisneyland.com/hotels/disney-explorers-lodge/
ขอจบตอนสั้นเจาะลึก “Disney Explorers Lodge” ไว้ก่อนแต่เพียงเท่านี้ แต่ยังไม่จบจริง เดี๋ยวอีกไม่นานเตรียมรอชมฉบับเต็ม ที่จะพาไปลองของเล่นใหม่อย่าง “Iron Man Experience” ที่พึ่งเปิดไปไม่กี่เดือนก่อนด้วยครับ
(พื้นที่โฆษณา) ก่อนจากกัน เชิญรบกวนติดตามกันต่อด้วยนะครับ
Facebook : www.facebook.com/oatenroute
Instagram : www.instagram.com/oatenroute
ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันจนจบนะครับ
Photo Gallery