หลับตาฝันถึง “มัลดีฟส์”
— เอพพิโซด 2 : เกาะสวรรค์วันพักร้อน “ดุสิตธานี มัลดีฟส์” —
มาถึงวันที่สองของทริปมัลดีฟส์นะครับ ผมจะย้ายไปนอนสองคืนที่รีสอร์ทหรูในฝัน “ดุสิตธานี มัลดีฟส์” ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมุดดูห์ (Mudhdhoo Island) ในจังหวัดบาอะทอล (Baa Atoll) โดยเกาะจะถูกล้อมรอบด้วยแนวปะการังที่งดงาม จนได้รับประกาศจากองค์กร UNESCO ให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑล (World Biosphere Reserve) แห่งแรกของโลก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเรามาร่วมเดินทางกันได้เลยครับ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
เอพพิโซด 1 : หนีไปติดเกาะ ณ หมู่เกาะแนวปะการังวงแหวนทางใต้
https://oatenroute.com/2016/11/02/0103009
หลังจากที่พวกเราเดินชมรอบเมืองเสร็จ ก็นั่งเรือย้อนกลับมาที่สนามบิน “Ibrahim Nasir International Airport” หรือ “Male International Airport” จะบินกับเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก (เสียดายไม่ใช่ Seaplane) เพื่อไปลงที่สนามบินภายในประเทศ “ธาราวานดู (Dharavandhoo Airport)” ก่อน แล้วจากนั้นค่อยนั่งเรือเร็ว (Speed Boat) แต่หากนั่งเครื่องบินน้ำก็สามารถบินตรงลงที่รีสอร์ทได้เลย
สิ่งสำคัญก่อนขึ้นเครื่อง ตอนเช็คอินอย่าลืมจองที่นั่งริมหน้าต่างครับ เพราะว่าจะได้ชมวิว Atoll หรือเกาะปะการังรูปวงแหวนล้อมรอบลากูน ซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้บ่อยนักแถวบ้านเรา ปกติแล้วก็กระจายตัวอยู่ทั่วโลกในมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ocean) และมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) แต่ว่าเที่ยวบินในประเทศจะค่อนข้างพิเศษเนื่องจากเพดานบินจะไม่สูงมาก ทำให้เวลาบินผ่านสามารถชื่นชมความงามได้เต็มอิ่มกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะใครที่บินด้วยเครื่องบินด้วย Seaplane คงฟินกันเต็มอิ่มอย่างแน่นอน
Lagoon (ลากูน) : เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ซึ่งในกรณีนี้จะเกิดจากการปิดล้อมของปะการัง มักจะมีลักษณะเป็นรูปวงกลม มีทางน้ำแคบๆ ไหลเข้าออกได้
นั่งเครื่องในประเทศใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็ถึงที่หมายกันเสียที จากที่ว่าสนามบินที่ Male จัดว่าไม่ใหญ่แล้ว ที่นี่ยิ่งไม่มีอะไรเลยครับ เครื่องลงจอดก็สามารถเดินชิวกันจากลานบินไปที่อาคารผู้โดยสารเลย เห็นลานบินโล่งขนาดนี้ หลายคนก็อดใจไม่ไหวที่จะ Selfie กับเครื่องบินแบบระยะประชิด เห็นบางคน (ไม่ใช่กลุ่มพวกเรานะครับ แต่ขอสงวนว่าเป็นชาติอะไรเก็บไว้ให้เดาแล้วกัน) อยากเข้าไปถ่ายรูปแทบอิงแอบกับตัวเครื่องบินเกินไปจนข้ามแนวเขตกรวยที่สนามบินกันไว้ สังเกตเห็นพนักงานภาคพื้นดินท่าทางดูใจดีแต่ไม่อยากให้นักท่องเที่ยวข้ามเขตเข้ามา คงไม่รู้จะตักเตือนยังไง ได้เพียงแต่ยิ้มอ่อนเท่านั้น
จากประสบการณ์ส่วนตัว นอกจากเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแล้ว หากเป็นไปได้พยายามหลบช่วงที่เป็นใบพัดจะดีมาก เวลาถ่ายมาแล้วมันติดมาแทบทุกใบ คิดว่าช่วงท้ายลำน่าจะเหมาะสุดครับ แต่ว่าหากนั่งบริเวณปีกก็ถือว่าไม่น่าเกลียดนัก เนื่องจากเครื่องบินใบพัดที่นั่งมาตัวปีกจะอยู่เหนือหน้าต่างครับ แต่ส่วนใหญ่โอกาสเลือกก็ไม่ง่ายเหมือนกัน เพราะเที่ยวบินมักจะโดนจองริมหน้าต่างเสียส่วนใหญ่
Maldivian :

สนามบินที่นี่ไม่มีสายพานอะไรเลย กระเป๋าเดินทางพวกเราจะวางรออยู่ภายในอาคาร เห็นแล้วก็ลากออกไปได้เลย สำหรับคืนนี้และวันถัดไป จากนั้นก็จะมีรถ Shuttle หวานเย็นมาส่งที่ท่าเรืออีกที ซึ่งจากนี้ก็นั่ง Speedboat ต่อไปอีกหน่อย (เพียง 10 นาที) ก็ถึงเกาะส่วนตัวของโรงแรม “ดุสิตธานี มัลดีฟส์”
รายละเอียดการเดินทาง / Male – Dusit Thani Maldives :
เครื่องบินทะเล (Seaplane) :
US$ 510 (50% สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปี) / ใช้เวลาเดินทาง 35 นาที ถึงท่าเรือของรีสอร์ท
เที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic Flight) :
US$ 380 (50% สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปี) / ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที ถึงสนามบิน Dharavandhoo และนั่งเรือเร็วต่ออีก 10 นาที
พอมาถึงรีสอร์ทก็จะมีพนักงานเข้าแถวยืนต้อนรับพร้อมรับเครื่องดื่ม “welcome drink” กับผ้าเย็นเช็ดหน้าให้ชื่นใจ จากนั้นก็รอคิวขึ้นรถกอล์ฟไปส่งที่ Villa ของแต่ละคน ทริปนี้ดีงามมาก แต่ละคนก็นอนแยกกันเป็นส่วนตัวสุดๆ เสียดายไม่ได้มาพร้อมกับครอบครัว พอถึงห้องก็เช็คอินกรอกข้อมูลต่างๆ พร้อมพนักงานพาทัวร์รอบห้องและอธิบายรายละเอียดกันพอหอมปากหอมคอครับ จากนั้นก็เป็นเวลาพักตามอัธยาศัยก่อนทานข้าว
“รู้หมือไร่?”
เฉพาะบน “Mudhdhoo Island” แห่งนี้เท่านั้นในมัลดีฟส์ที่จะมี “Time Zone” เป็น “GMT +04:00” หรือช้ากว่าบ้านเรา 3 ชั่วโมง (Bangkok : GMT +07:00) ในขณะที่เวลาทั่วไปของมัลดีฟส์จะเป็น “GMT +05:00” ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับเวลาตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าหรือชมพระอาทิตย์ขึ้น และเวลาเย็นให้แขกที่มาพักได้ใช้เวลาช่วงกลางวันอย่างเต็มที่นั่นเอง รวมไปถึงความสะดวกในการเดินทางด้วย เป็นอะไรที่เจ๋งไปเลยที่มีเวลาใช้เป็นของตัวเองด้วยครับ
วันนี้มาถึงท้องฟ้าก็เริ่มมืดล่ะครับ ผมเลยไม่พักผ่อนแล้วดีกว่า รีบไปเก็บภาพช่วง twilight ก่อนจะมืดไปเสียก่อน ผมก็เลยขอติดรถมาลงแถวห้องอาหารมื้อค่ำเลย ซึ่งจะอยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม


จาก Lobby ไปไม่ไกลจะเป็นท่าเทียบเรือ ซึ่งบนเกาะจะมีอยู่สองอันสลับกันใช้ตามฤดูกาลขึ้นกับทิศทางคลื่นและลมมรสุม ช่วงที่ผมไปจะใช้อีกท่านึงซึ่งอยู่อีกฟากนึงของเกาะครับ





ถ่ายรูปเล่นสักพักพอเริ่มมืดก็ได้เวลาหม่ำมื้อเย็นที่รอมานานครับ โดยที่นัดหมายเราจะอยู่ที่ “The Market” ซึ่งให้บริการอาหารนานาชาติจากทั่วทุกมุมโลก สามารถเลือกตามสั่งหรือว่าจะทานบุฟเฟ่ต์อย่างโปรแกรมที่จัดไว้สำหรับมื้อนี้ก็ดีงามมากครับ มานอนรีสอร์ทระดับห้าดาวแบบนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินเลย โดยเฉพาะเครือ “ดุสิตธานี” มื้อค่ำวันนี้สามารถการันตีได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าอาหารจะถูกปากคนไทยอย่างพวกเรารึเปล่าด้วย
ห้องอาหารก็จะมีทั้งแบบห้องแอร์ (มีโต๊ะไม่เยอะมาก) และก็แบบ Outdoor ซึ่งทั่วไปชาวต่างชาติมักชอบสูดอากาศบริสุทธิ์มากกว่า ข้างนอกจะไม่ร้อนและมีลมทะเลพัดมาตลอด แต่ผมชอบในห้องแอร์เพราะเป็นคนขี้ร้อนเป็นทุนเดิมครับ
The Market :
เป็นห้องอาหารที่เปิดให้บริการทั้งอาหารเช้าและเย็น มีเมนูอาหารนานาชาติทั้งโลกตะวันออกและตะวันตกสำหรับอาหารเช้าสไตล์บุฟเฟ่ต์ รวมไปถึงผลไม้ตามฤดูกาล ของหวาน และขนมอบมากมาย ในส่วนมื้อเย็นมีให้เลือกทั้งแบบบุฟเฟ่ต์หรืออาหารตามสั่งในบรรยากาศแบบมัลดีฟส์
Opening Hours :
Breakfast : 07.00 – 10.30 / Dinner : 19.00 – 22.00Link :
http://www.dusit.com/dusitthani/maldives/dining/the-market/

เป็นมื้อเย็นที่ประทับใจ อร่อยและอิ่มมากครับ ทานเสร็จก็แทบคลานกลับห้องกันเลยทีเดียว จะเดินก็ไม่ไหวเพราะไกลมาก และก็ยังไม่ค่อยชินทางเท่าไหร่ครับ วันแรกก็เลยขอรถกอล์ฟไปส่งที่ห้องพักก่อน ห้องพักคืนนี้ซึ่งเป็นแบบ “Beach Villa” ข้างในทั้งอยู่สบายกว้างขวางสุดๆ เปิดหน้าต่างออกไปก็ถึงทะเลแล้ว แม้ว่าเป็นห้องเริ่มต้นแต่ก็ฟินมากแล้วครับ ห้องอาบน้ำจะอยู่ด้านนอก แบ่งแยกส่วนได้เหลือเฟือ สามารถเลือกแช่อ่างหรืออาบน้ำแบบในร่มหรือชมดาวได้หมดเหมือนกัน
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นผมวางแผนตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ถ่ายรูปบริเวณ “Ocean Villa” ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องพักเท่าไหร่ เป็นแบบสไตล์ Bungalow ยื่นไปในน้ำซึ่งเป็นความฝันของหลายคนที่มาเยือนมัลดีฟส์ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ ตอนแรกแอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้พักโซนนี้ แต่พอได้เห็นห้องพักเมื่อคืนก็ฟินจนไม่อยากกลับแล้วครับ
ช่วงเช้าที่รอดูพระอาทิตย์ขึ้นก็จะมีปลากระเบนว่ายผ่านมาใต้ทางเดินที่ยืนถ่ายรูปพอดีเลยครับ ตื่นเต้นมากพึ่งเคยเห็นครั้งแรกในทะเล แต่ไม่อยากบอกเลยว่าภาพเช้านี้หายหมดเพราะว่าตอนเอากลับไปเปิดดูที่ห้องแล้วเผลอลบทิ้งหมดเกลี้ยง เพราะคิดว่าอัพไว้ใน External HD เรียบร้อย กว่าจะรู้ตัวก็หลังข้าวเที่ยงเลยทีเดียว จะกู้ก็ลำบากเพราะว่าถ่ายทับไปเยอะพอสมควร สุดท้ายเช้าอีกวันก็เลยต้องกลับมาถ่ายซ่อมอีกรอบแทนที่จะได้เปลี่ยนมุมดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ ความจริงอยากนอนตื่นสายสักวันก็เลยต้องมาถ่ายรูปแทน
สำหรับอาหารเช้าเราก็ทานห้องเดียวกับเมื่อคืน มีอาหารหลากหลายอิ่มแปร้ พอทานเสร็จก็ได้ออนทัวร์ชมห้องพักชนิดต่างๆ

หลังจากที่ชมห้องพักเสร็จ ก็ได้เวลาทานข้าวเที่ยงก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมหรือนอนชิวก็ได้ เราเปลี่ยนบรรยากาศมาทานกันที่ห้องอาหาร “Sea Grill”




Sea Grill :
เป็นห้องอาหารริมสระน้ำแบบ Infinity ที่กลมกลืนไปกับท้องทะเล สามารถชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็นได้งดงามมาก ให้บริการอาหารทะเลสดและสเต็กย่างแสนอร่อย รวมไปถึงรสชาติอาหารพิเศษสไตล์ ต้นตำรับจาก Mediteranion โดยมีอาหารแนะนำพิเศษ ได้แก่ ปลาจากแนวปะการังย่างบนกระทะสุกพอดี หรือเมนูเนื้อไก่ที่เลี้ยงด้วยข้าวโพด และสเต็กเนื้อสันสุดโอชะสำหรับคนชอบกินเนื้อ
สำหรับคอไวน์ ทางรีสอร์ทมีไวน์จากทุกมุมโลกในห้องกระจกให้ลิ้มลอง เพลิดเพลินไปพร้อมกับดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสุดพิเศษบนเกาะส่วนตัวกลางมหาสมุทรอินเดีย
Opening Hours : 12.00 – 22.00
Link :
http://www.dusit.com/dusitthani/maldives/dining/sea-grill/
พออิ่มก็แยกย้ายไปพักผ่อนสักเล็กน้อย ก่อนนัดล่องเรือรอบเกาะช่วงพระอาทิตย์ตก ส่วนผมนี่นอนตากแอร์ในห้อง รอจังหวะที่แดดร่มบ่ายๆ จะออกไปดำน้ำแถวบริเวณ “Watersports Jetty” โดยต้องไปยืมอุปกรณ์ตีนกบกับเสื้อชูชีพที่ “Seasplash Dive and Water Sports Centre” ซึ่งมีกิจกรรมทางน้ำให้เล่นมากมาย ช่วงที่ผมไปนี่คลื่นแรงพอดีครับ (อย่างที่บอกว่าตอนดูพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทางนี่เจอแต่ “Thunder Storm” ทุกวัน) น้ำเลยค่อนข้างขุ่นไปหน่อย รู้อย่างนี้หลังกินข้าวน่าจะมาเล่นเลย เพราะช่วงนั้นคลื่นไม่แรงเท่านี้ครับ พอลงไปดำน้ำ Snorkling นี่เวลาเจอคลื่นแรงๆ นี่ผมมีอาการเมาพอสมควร ก็เลยต้องแอบแวะพักที่บันไดทางขึ้น “Water Villas with Pool” แถวนั้น ขนาดคลื่นแรงน้ำขุ่นก็ยังเจอปลาเพียบเลยครับ เสียดายปะการังบริเวณโซนน้ำตื้นที่ให้ดำ Snorkling นี่มีแตกหัก คิดว่าคงเสียหายจากคลื่นสึนามิเมื่อหลายปีก่อน หากอยากเห็นสวยๆ รวมถึงปลาเยอะกว่านี้ต้องดำแบบ Scuba เลยครับ แถวนี้สวยมากจนเป็นเป็นเขตสงวนชีวมณฑล (มรดกโลก) ผมก็ไม่กล้าเลยข้ามโซนน้ำตื้นออกไป เนื่องจากพอพ้นช่วงนี้ออกไปจะเหมือนเป็นเหวลึกไปข้างล่าง แต่มองไกลๆ เห็นมีปลาสวยเยอะขึ้น รวมไปถึงปะการังที่สภาพดีด้วย ในวันที่คลื่นแรงๆ ผมขอไม่เสี่ยงดีกว่า แค่ว่ายออกไปเกือบขอบเหวนี่ก็ไกลจากฝั่งพอควรแล้วครับ
เสร็จจากดำน้ำก็แทบคลานกลับห้องเลยครับ เจอคลื่นแรงแบบนี้ยอมแพ้ กลับมาคราวหน้าต้องฟิตร่างกายแก้มือแน่นอน แต่มีเวลาไม่นานก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อ สำหรับโปรแกรมพิเศษจากทางรีสอร์ท เป็นการนั่งเรือหรูชิวรอบเกาะพร้อมชมพระอาทิตย์ตกครับ (ได้วนสองรอบฟินไปเลย) กลัวเมาเรือก็เลยจัดยาแก้เมากันไว้เพราะเข็ดจากคลื่นแรงตอนช่วงบ่าย แต่พออยู่บนเรือแล้วลมตีหน้าสบายจนไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ขึ้นเรือก็จะมีของว่างให้ทานพร้อมกับเสิร์ฟไวน์ให้จิบระหว่างนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกรอบเกาะ ช่วงสุดท้ายกัปตันใจดีให้พวกเราสลับกันไปนั่งขับเรือถ่ายรูปสวยๆ เป็นที่ระลีกด้วย





จากตรงนี้ผมก็ปั่นจักรยานย้อนกลับไปแถวบ้านพัก เพื่อไปรอเก็บภาพตอนพระอาทิตย์จะตกทะเล ระหว่างที่รอก็เดินเล่นแถวห้องอาหาร “Sea Grill” ที่มาเมื่อตอนกลางวัน เดินวนไปเรื่อยจนพระอาทิตย์ตกรอเวลาทานมื้อเย็นที่ทางรีสอร์ทจะมีเมนูพิเศษเลี้ยงส่งกันครับ


มื้อค่ำเราจะทานกันที่ห้องอาหาร “เบญจรงค์ (Benjarong)” ใช้เป็นชื่อไทยเลยครับ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นห้องอาหารไทยเพียงหนึ่งเดียวประจำรีสอร์ท ถึงแม้มาเที่ยวต่างแดน แต่การได้กินอาหารไทยที่รสชาติแบบดั้งเดิมนี่มันเป็นอะไรที่ช่วยให้หายคิดถึงบ้านไปเยอะ ก่อนที่จะถึงมื้อเย็น ทางรีสอร์ทจัดเป็นของกินเล่นชวนพวกเราไปนั่งเล่นที่ชั้นบน “ศาลาบาร์ (Sala Bar)” ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกแห่งหนึ่งบนเกาะ พร้อมกับเสิร์ฟ Cocktail กับ Tapas ของทานเล่นที่เป็นสไตล์เอเชีย ช่วงที่เราไปเป็นรอบชิงบอล EURO 2016 พอดี ก็เลยได้ร่วมลุ้นกันสนุกไปเลยครับ โดยทางโรงแรมมีถ่ายสดให้ดูทุกคู่เลยครับ แขกที่มาพักสามารถดูที่ห้อง หรือมาสนุกกันกับแขกท่านอื่นพร้อมดูทีวีจอใหญ่ได้อารมณ์เต็มที่





ห้องอาหารไทย “เบญจรงค์” มีเมนูสุดเด็ดแนะนำ อาทิ ต้มยำโป๊ะแตกและพล่ากุ้ง แต่สำหรับเราคืนนี้มีโอกาสได้กินข้าวเหนียวไก่ย่าง ลาบอีสาน และก็อาหารรสเด็ดให้หายคิดถึงเมืองไทยไปเลยครับ


เช้าวันรุ่งขึ้นครับ อย่างที่บอกกันไว้ว่าเผลอลบรูปทิ้งไปหมดแบบกู้ไม่ได้ ก็เลยต้องตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตีห้าอีกครั้ง เพื่อเก็บภาพบรรยากาศแสงเช้าสุดท้ายบนเกาะก่อนอำลา ความจริงแทบไม่อยากลุกจากเตียงเลย เพราะแอร์เย็นและเตียงสุดนุ่มนอนสบายมากๆ ครับ แต่สุดท้ายต้องฝืนมาเก็บภาพ ไม่อย่างนั้นจะไม่เหลือรูปจาก Ocean Villas ตอนช่วงแสงแรกเลย
เสร็จจากตรงนี้ก็ปั่นจักรยานไป “The Market” เพื่อทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า วันนี้เห็นเพื่อนๆ มาสายกัน คงนอนพักผ่อนเอาแรงกันเต็มอิ่มเลยทีเดียว

พอทานมื้อเช้าเสร็จ เห็นว่าพอมีเวลาเหลืออยู่อีกหน่อย (นัดขึ้นเรือกันตอนเที่ยง) ผมอยากแก้มือเมื่อวานก็เลยไปยืมอุปกรณ์ดำน้ำอีกรอบครับ แต่วันนี้ผมจะลงหาดหน้าบ้านเลย เพราะดูไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้น้ำใสกว่าและคลื่นไม่แรงมากเท่าเมื่อวาน แต่ก็พอว่ายเหนื่อยเอาเรื่องอยู่ครับ



มีเวลาเล่นน้ำอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าเกือบสองชั่วโมง แต่เวลาผ่านไปเร็วมากครับ ต้องรีบไปอาบน้ำและเก็บกระเป๋าเดินทางด้วย เกือบไม่ทันจนต้องฝากพนักงานดูแลห้องช่วยนำอุปกรณ์ดำน้ำไปคืน (ความจริงควรเอาไปคืนด้วยตัวเอง) เป็นอะไรที่กระหืดกระหอบเร่งรีบมาก ถ้าต้องปั่นจักรยานไปคืนเองนี่มีสิทธิ์ทำเพื่อนๆ ตกเรือได้ครับ
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วมากครับ รู้สึกว่าสองคืนยังน้อยไป ไม่ค่อยอยากกลับไปเลย ช่วงที่จะลงเรือกลับพนักงานก็จะมาเรียงแถวส่งเป็นธรรมเนียมพร้อมโบกมืออำลาครับ ก่อนจะลืมมีเรื่องสำคัญมากที่ไม่ลับแต่ว่าคนไม่ค่อยรู้กันเกี่ยวกับ “Dusit Thani Maldives” ที่ไม่เหมือนใคร สำหรับคนที่ต้องบินเที่ยวบินรอบดึก ถึงแม้ว่าจะเลยเวลา check-out ไปแล้ว แต่ทางรีสอร์ทจะเปิดห้องให้แขกอยู่ต่อได้ครับ จนกว่าจะถึงเวลาเรือหรือเที่ยวบินสุดท้ายที่จะออกจากรีสอร์ทเลย ทั้งนี้แขกก็สามารถอยู่ดื่มด่ำบรรยากาศแห่งความสุขต่อได้อีกหน่อย โดยเหตุผลหลักก็คือ แขกจะได้ประทับใจ และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องมานั่งรอตรง Lobby ให้ดูไม่มีระเบียบเหมือนโรงแรมหรือรีสอร์ททั่วไปด้วยครับ



ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านจนจบ “Episode II” รวมถึงขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านอีกครั้งด้วยครับ เหลือภาคจบอีกตอนนึงเป็นเก็บตกที่ “ศรีลังกา” อีกสองคืน ก่อนเดินทางกลับเมืองไทยครับ
ขอบพระคุณ “SriLankan Airlines” ที่สนับสนุกเรื่องการเดินทางอันแสนประทับใจ โดยเฉพาะ “น้องแอน” ทีมงานจากสายการบินที่ตามมาคอยอำนวยความสะดวกและประสานงานตลอดทริปนี้ ช่วยดำเนินการจัดที่นั่งริมหน้าต่างให้ชมวิวสวยๆ ตลอดทริปจากบนฟ้าเหนือทะเลมัลดีฟส์
ขอบพระคุณ “Dusit Thani Maldives” และทีมงานทุกท่าน สำหรับประสบการณ์แสนประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือน จนรู้สึกว่าช่วงเวลาสองคืนที่อยู่บนเกาะผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ที่สำคัญห้องพักกว้างขวางหรูหราอยู่สบายระดับห้าดาว
สำหรับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น พร้อมการบริการที่ไม่ลืมเลือน อาหารอร่อยทุกมื้อ รวมไปถึงห้องพักที่เป็นส่วนตัวและอยู่สบายทริปนี้จะไม่เกิดขึ้น หากไม่มี “Billion Destinations” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการท่องเที่ยวครบวงจร อาทิ การให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก รถเช่า เรือสำราญ วีซ่า ฯลฯ และ “Maldives Fanclub” แหล่งรวมข้อมูลแบบเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับมัลดีฟส์ ดำเนินงานโดย “คุณพีท” ที่จุดประกายและสานฝันของทริปในดวงใจผมให้เป็นจริงขึ้นมา
สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ “Canon Image Square by Photo Bug Chiang Mai” และ “Canon Marketing (Thailand) Company Limited” ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังการเก็บภาพบันทึกความทรงจำดีๆ กลับมาเช่นเคยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สำหรับอุปกรณ์ถ่ายภาพ ขอบคุณ “คุณอ้อม” และ “เพื่อนป๊อบ” มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
เชิญชมภาพใน Gallery ด้านล่างครับ
One thought on ““Maldives 1st Time” — Episode II : Luxury Retreat at “Dusit Thani Maldives””