หลับตาฝันถึง “มัลดีฟส์”
— เอพพิโซด 1 : หมู่เกาะปะการังวงแหวนทางใต้ “ฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท กันดูมา มัลดีฟส์” —
หากพูดถึงทะเล หลายคนคงนึกถึง “มัลดีฟส์ (Maldives)” เป็นหนึ่งในปลายทางในฝัน ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องหาโอกาสไปเยือนให้ได้ และคราวนี้ก็ถึงเวลาที่ความฝันของผมจะได้เป็นจริงเสียที เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานี้เอง (มิถุนายน 2559) หลังจากที่เลื่อนแผนการเดินทางมาหลายรอบ ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ที่สำคัญมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศศรีลังกาด้วย จึงค่อนข้างใช้เวลารวมเดินทางเกือบเต็มอาทิตย์เลยทีเดียว จึงขออนุญาตแบ่งออกเป็นสามตอนย่อยจะได้ไม่ยาวจนเกินไป เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอกลับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ
ทริปนี้ผมจะออกเดินทางไปกับ “SriLankan Airlines” – www.srilankan.com – เที่ยวบินออกจากเมืองไทยค่อนข้างเช้า ก็เลยต้องบินจากเชียงใหม่มาค้างคืนก่อนที่กรุงเทพ ไม่อย่างนั้นเด็กดอยอย่างผมคงไม่ทันเช็คอินแน่นอน เพราะต้องมาถึงสนามบินตั้งแต่ 7 โมงเช้าก่อนเวลาเครื่องออกสองชั่วโมง คืนที่ผ่านมาผมจึงเลือกพักโรงแรมที่ใกล้รถไฟฟ้า แล้วก็ตื่นหัวฟูรีบขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวแรก (แถวสาธร) ทันเวลาเช็คอินหวุดหวิดพอดีครับ
รายละเอียดเที่ยวบิน :
UL 403 : BKK-CMB / 0910-1100 — Duration : 3h 25m
UL 115 : CMB-MLE / 1335-1430 — Duration : 1h 25m

เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางกับ “SriLankan Airlines” ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศศรีลังกา มาถึงตรงนี้ผมขออธิบายสักเล็กน้อย เผื่อหลายคนอยากรู้จักสายการบินนี้มากขึ้นครับ จากกรุงเทพ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ก็จะบินไปลงที่ “Colombo” เมืองหลวงของศรีลังกาก่อน จากนั้นค่อยต่อเที่ยวบินภายในประเทศอีกครั้ง ซึ่งประเทศมัลดีฟส์นี่ก็อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ลงไปอีกไม่ไกลนักครับ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการเดินทางไปเที่ยวมัลดีฟส์ สามารถซื้อตั๋วได้ในราคาที่ย่อมเยากว่าเจ้าอื่นถึงอยู่หลายพันเหมือนกัน
เครื่องบินสำหรับทริปนี้เป็นรุ่น Airbus A330-300 มาพร้อมกับจอทีวีส่วนตัวแบบจอสัมผัส หากใครต้องการชาร์จมือถือจะมีช่อง USB ให้ด้วย ผมลองแล้วกว่าจะเต็มใช้เวลาพอสมควร หรือใครมีเรื่องด่วนก็สามารถซื้อ Wi-Fi เพื่อเชื่อมต่อชาวโลกด้านล่าง แต่ว่าราคายังค่อนข้างสูงอยู่ครับ (ณ เวลานี้มีให้เฉพาะรุ่น “A330-300”)


มาถึงตรงนี้ลองมาดูอาหารบนเครื่องกันดีกว่า คิดว่าหลายคนอาจสงสัยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรหรือถูกลิ้นคนไทยรึเปล่า จากประสบการณ์ส่วนตัวจะเล่าให้ฟังแล้วกันครับ เที่ยวบินนี้จะเสิร์ฟอาหารเช้า โดยจะมีสองอย่างให้เราเลือก หากใครเน้นชัวร์ๆ ว่าทานได้แน่ก็เลือกอาหารเช้าแบบสากลเลยดีกว่า ซึ่งวันนั้นสายการบินเสิร์ฟจานหลักเป็นเมนูไข่ (Scrambled Egg with Momay Sauce / Grilled Chicken Sausage / Sauteed Spinash & Grilled Tomato / Rosti Potato) ส่วนผมอยากลองอย่างอื่นก็เลยสั่งเป็นข้าวแทน เป็นอารมณ์ประมาณข้าวผัดไข่เสิร์ฟพร้อมไก่ย่างราดพริกเผา คล้ายกับพริกในน้ำมันที่ปรุงเวลาทานข้าวซอย แล้วก็มีผักเป็นเครื่องเคียง (Roasted Chicken in Chilli Sauce / Boiled Carrot and Kale / Fried Rice with Egg) สำหรับรสชาติส่วนตัวผมว่าเค็มน้อยไปนิดนึง เพื่อนร่วมทริปหลายคนลงความเห็นตรงกันว่าโอเคเลยสำหรับจานนี้ครับ

ซึ่งจากการได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่สายการบินที่ออกทริปด้วยกัน จึงได้ทราบว่าเที่ยวบินที่ออกจากไทย อาหารนี้ออกมาจากครัวเดียวกับ Emirates ผมว่าลองดูเมนูแต่ละเที่ยวบินซึ่งเขาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดีกว่า แต่ถ้าไม่ชัวร์ก็สั่งพวกอาหารเช้าที่เป็นไข่น่าจะถูกปากทุกคนครับ
เมื่อคืนผมนอนน้อยแล้วก็ตื่นเช้า หลังจากทานข้าวเสร็จ เปิดดูหนังสักพักก็หลับคร่อกคาจอเลยครับ ตื่นมาอีกทีก็ตอนเครื่องใกล้ลง แวะต่อเครื่องที่ “Colombo” เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา ซึ่งต้องปรับเวลาให้ช้ากว่าบ้านเรา (-1.30) เป็นเวลาท้องถิ่น
เมื่อผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง พวกเราจะอยู่ที่สนามบิน Bandaranaike International Airport ประมาณสองชั่วโมงครึ่งเพื่อรอต่อเครื่อง ภายในสนามบินก็จะมีร้านอาหารให้ทานหากใครไม่อิ่มจากบนเครื่อง มี Burger King ด้วย หรือว่าพวกแซนวิชและน้ำเปล่าก็มีตามร้านทั่วไป สามารถจ่ายเป็นเงิน US Dollar ได้เลย (แลกเผื่อไว้ด้วยนะครับ) สำหรับอาหารบนเครื่องที่จะต่อเครื่องไปนี่ ขอแอบกระซิบว่าส่วนตัวว่าไม่ถูกปากเท่าเที่ยวบินจากกรุงเทพ มีกลิ่นเครื่องเทศค่อนข้างแรงไปนิดนึง (เนื่องจากเปลี่ยนครัวเป็นของทางสายการบินซึ่งมีศูนย์ที่สนามบินนี้ แต่ทั้งนี้อาจขึ้นกับเที่ยวบินด้วยนะครับ) ดังนั้นถ้าใครกลัวหิวก็ทานจากสนามบินไปเลย
พอขึ้นเครื่องอยากให้เตรียมกล้องรอวิวสวยๆ ของ Atoll จากบนเครื่องเลยดีกว่า ตรงนี้ฝากไว้นะครับ หากใครอยากถ่ายรูปสวยๆ ให้พยายามเลือกที่นั่งริมหน้าต่างให้พ้นปีกเครื่องบิน เพราะว่าผมกดมาเยอะแต่ถูกใจจริงๆ มีไม่มากครับ หากนั่งฝั่งซ้ายจะย้อนแสงในช่วงบ่าย แต่จากการเปรียบเทียบกับเพื่อนแล้วฟากนี้จะสวยกว่า ดังนั้นอาจเลือกตอนขากลับก็ได้ถ้าไม่อยากย้อนแสง

ช่วงเวลาที่เครื่องใกล้ลงที่ “Male” (อ่านว่า “มา-เล่”) ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญอย่างนึงเลยครับ เพราะว่าเราจะเห็น Atoll ทั้งแบบเล็ก ใหญ่ และยาว กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ เต็มไปหมด ส่วนที่จมน้ำตื้นหน่อย ก็จะมีสี Turquoise จางๆ หากน้ำลึกก็จะเข้มขึ้น โดยเฉพาะในวันที่แดดดีจะเรียกได้ว่าสุดยอดมาก จากภาพปลากรอบที่เห็นนี่ถือว่าฟ้ายังไม่เต็มร้อยเท่าช่วงฤดูท่องเที่ยวครับ แต่ก็ถือว่าสวยมากแล้ว เพราะก่อนมาพยากรณ์อากาศบอกว่าเจอฝนตกพายุฟ้าคะนองทุกวันเลย

เราลงจอดกันที่สนามบิน “Ibrahim Nasir International Airport” หรือ “Male International Airport” ที่เมืองหลวงของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ หรือที่รู้จักกันว่า “Male” นั่นเอง สนามบินแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่สร้างอยู่บนเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น หากตอนอยู่ข้างล่างจะเหมือนสนามบินธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมองจากข้างบนจะเห็นความงดงามของเกาะแห่งนี้

เมื่อลงจอดพวกเราก็เดินลงมาเองจนถึงอาคารผู้โดยสารเลยครับ ไม่ต้องมีงวงอะไรแล้ว อากาศค่อนข้างแจ่มใสทีเดียว ค่อยมีความหวังขึ้นมาหน่อยหลังจากที่เช็คพยากรณ์อากาศก่อนมาแล้วช่างห่อเหี่ยวเสียเหลือเกินครับ เปิดจากไอโฟนเป็นรูปฟ้าผ่าทุกวันเลยครับ ไม่มีวันไหนที่จะเจอแดดเต็มๆ จากการที่ได้คุยกับผู้มีประสบการณ์มาเที่ยวมัลดีฟส์บ่อยๆ ได้ความว่าไม่ต้องกังวลเรื่องฝนตกนัก (หากไม่ใช่พายุสายโหดเข้าจริงๆ) ในหน้าฝนก็สามารถเที่ยวได้หากโชคไม่ร้ายเสียจนเกินไป เพราะฝนที่นี่จะตกแล้วก็หยุด สักพักแดดก็จะมาแบบไม่รู้ตัวครับ
พอเสร็จขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ทางทีมงาน “Holiday Inn Resort Kandooma Maldives” ก็จะมารับเราไปยังท่าเรือ ซึ่งเรือจะล่องไปทางใต้ไม่ไกลนัก แต่เห็นสภาพคลื่นที่กระทบท่าเรือแล้วทำเอาผมชักเริ่มหวั่นใจ ก็เลยรีบจัดยาแก้เมาไปเสียก่อนโดยด่วน โชคดีที่ออกมานอกบริเวณ Jetties ที่กันคลื่นแล้วกลับกลายเป็นว่าข้างนอกทะเลค่อนข้างสงบ เวลานั่งเรือไม่มีกระแทกอะไรเลย — สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะว่าทันทีเมื่อขึ้นเรือก็จะได้รับชูชีพประจำตัวใส่ไว้ทันทีเพื่อความปลอดภัย — ใช้เวลาราว 45 นาที จัดว่าไม่นานก็เห็นเกาะที่เราจะมาค้างแรมอยู่เบื้องหน้า ก่อนเรือจะเลี้ยวเข้าหาเกาะ คนขับเรือก็ดับเครื่องพร้อมกับชี้นิ้วไปข้างๆ พร้อมบอกว่า “Dolphin” ใช่ครับ อย่างกับว่ารีสอร์ทส่งปลาโลมาฝูงเล็กออกมาต้อนรับพวกเราประหนึ่งว่าเป็นแขกระดับ VIP เนื่องจากอุปกรณ์เยอะมากทริปนี้ ทั้งกล้อง Action Camera แล้วก็กล้องอีกสารพัด ด้วยความโลภ กว่าจะเปลี่ยนเลนส์กล้องใหญ่ให้เป็นช่วงเทเล บริเวณหน้าเรือก็มีคนจับจองไปหมดแล้วครับ จึงมีรูปติดมาในกล้องภาพเคลื่อนไหวนิดหน่อย ส่วนกล้องหลักได้เพียงครีบที่โผล่มาจังหวะที่ปลาโลมาว่ายข้างเรือ ส่วนจังหวะกระโดดลอยเหนือน้ำนี่เก็บได้เพียงสายตา ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันนี่ได้จังหวะสวยๆ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเลย ถือว่าเป็นหนึ่งความประทับใจในทริปครับ แอบ surprise เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะเจอใกล้ขนาดนี้
ได้ตื่นเต้นและชื่นชมกันสักพัก ปลาโลมาก็ว่ายลอดใต้เรือแล้วแซงหายไป มาถึงรีสอร์ทก็นั่งพักจิบ Welcome Drink สักพัก พวกเราก็เดินสำรวจส่วนต่างๆ โดยรอบรีสอร์ทกันครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “Holiday Inn Resort Kandooma Maldives” :
Official Website : http://www.maldives.holidayinnresorts.com
IHG Website : http://www.ihg.com/holidayinnresorts/hotels/us/en/south-male-atoll/mlekf/hoteldetail

“Holiday Inn Resort Kandooma” ตั้งชื่อตาม “Kandoo Tree” ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไปบนเกาะแห่งนี้ แขกที่มาพักสามารถเดินเล่นได้ทั่วเกาะเพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของโรงแรม สามารถเดินได้โดยรอบได้ในเวลา 15-20 นาที หากขี้เกียจเดินหรือว่ามีฝนตกก็สามารถใช้บริการรถกอล์ฟของทางโรงแรมได้ครับ อย่างบางทีช่วงแรกนี่เดินทางแบบไม่ดูแผนที่มีหลงเหมือนกัน แต่พอสักพักจับทิศได้ก็เริ่มเข้าทางไม่มีปัญหา
ส่วนของห้องพัก ก็เดินชมเกือบครบ Room Type แต่ที่น่าสนใจสุดเห็นจะเป็นส่วนที่ยื่นออกไปในน้ำ ซึ่งจะมีสองแบบในบริเวณเดียวกัน ได้แก่ “Overwater Villa” ซึ่งมีหนึ่งห้องนอน และแบบ “Overwater Pavillion” ที่ใหญ่กว่าและมีหลายห้อง เหมาะสำหรับมาเที่ยวเป็นครอบครัวหรือกลุ่มใหญ่ หากใครอยากลองนอนที่พักสไตล์มัลดีฟส์ซึ่งยื่นไปในทะเล ราคาของที่นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ



กว่าจะเดินสำรวจรอบโรงแรมเสร็จก็พระอาทิตย์ตกพอดี จึงต้องรีบไปทำธุระก่อนออกมาถ่ายรูปเล่นก่อนทานข้าวเย็น ยังดีมีรถกอล์ฟพาไปส่งที่ห้องครับ ไม่อย่างนั้นคงเดินไกลและหลงแน่นอน จากหลังห้องพักก็เดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ เพราะกลางเกาะนี่จะมีซอยย่อยเยอะมาก กลางคืนทางเดินค่อนข้างมืดด้วย เดินคนเดียวก็มีเสียวเหมือนกันครับ ช่วงหัวค่ำจะเห็นค้างคาวตัวใหญ่กว่าบ้านเราหลายเท่าเลย ไปค้นดูเห็นบอกว่าเป็น “Fruit Bat” พยายามเดินหาตอนกลางวันหรือถามพนักงานเพื่อถ่ายรูปก็ไม่เจอครับ เห็นครั้งแรกตกใจมาก ข้อมูลบอกว่าตอนกลางปีกแล้ววัดความยาวได้ถึง 4 ฟุต (ประมาณ 1.20 เมตร) เลยทีเดียว
Fruit Bat at Maldives :
Credit : Miklos Kiss

สักพักไม่ถึงสิบนาทีก็เดินมาถึงห้องอาหาร มองแล้วยังไม่เห็นมีใครมาก็เลยรีบเดินไปแถวท่าเรือที่เราขึ้นมาตอนกลางวัน แถวนี้ตอนกลางวันจะมีแขกมาดำน้ำตื้นโดยรอบด้วย



อาหารค่ำนี้เราจะทานกันที่ “Kandooma Cafe” ห้องอาหารหลักที่ให้บริการอาหารเช้าด้วย มื้อค่ำอาหารจะเป็น Buffet ที่หลากหลาย อาหารท้องถิ่น รวมไปถึงปลาดิบ แต่ผมชอบส่วนที่เป็นอาหารปิ้งย่างสุดๆ เพราะมีทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ รวมไปถึงอาหารทะเล โดยเฉพาะปูนี่เนื้อหวานมาก จำได้ว่าตักหลายรอบจนลืมอายเลยทีเดียว โดยเราสามารถไปคีบอาหารที่ต้องการมาให้พ่อครัวปรุงสุกได้ตามชอบ ส่วนของหวานก็อร่อยไม่แพ้กันครับ




Kandooma Cafe :
เป็นห้องอาหารตกแต่งปรับปรุงใหม่ มีอาหารหลากหลายทั้งแบบเอเซียและตะวันตก มีที่นั่งในร่มและกลางแจ้งให้แขกเลือกได้ตามใจชอบ
Opening Hours : 06:30 am – 10:00 pm
มื้อเย็นที่แสนหิว ผมจัดเต็มไปหลายรอบมาก พอเสร็จแล้วต้องเดินอาหารย่อยกันสักเล็กน้อย เลยมาสำรวจตามที่ต่างๆ เพิ่มเติม บริเวณ Lobby ที่เรามาถึงกันตอนบ่าย พอตกกลางคืนบรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลย มีที่นั่งสบายๆ ฟังเพลงกันเบาๆ พร้อมจิบเครื่องดื่มก็ได้บรรยากาศทีเดียว

หากใครไม่ชอบทานบุฟเฟ่ต์ ที่รีสอร์ทมีห้องอาหาร “The Kitchen” ซึ่งเป็นห้องอาหารริมทะเลพร้อมฟังเสียงคลื่นไปด้วย

สำหรับขาดื่ม ก็สามารถเดินมาบริเวณประภาคาร (Lighthouse) พร้อมนั่งดื่มกันบนดาดฟ้า นอนชมดาวฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง รวมไปถึงเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ดีสุดบนเกาะด้วยครับ

วันนี้เดินทางมาเหนื่อยมาก ถึงห้องนอนเจอแอร์เย็นๆ แล้วแทบอยากเอนกายลงนอนโดยทันใด ห้องพักของผมเป็นแบบ “Beach Villa” มาถึงตอนมืดสนิท ตอนเช้าเปิดออกไปถึงได้เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากหาดมากนัก มองออกไปห่างๆ ก็จะเห็นทะเลอยู่ครับ เวลาอาบน้ำเป็นแบบกลางแจ้ง ถึงห้องเกือบเที่ยงคืนอาบน้ำคนเดียวมีเสียวพอควร เพราะว่าบนฟ้ามืดสนิท แถมเห็นค้างคาวตัวใหญ่บินผ่านไปเป็นระยะๆ


ตอนเช้ามีนัดกับน้องออกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันครับ ตั้งนาฬิกาไว้ประมาณตีห้าแทบไม่ตื่นเพราะง่วงจริงๆ แต่ก็พยายามฝืนตัวลุกออกมาจากเตียงนอนแสนนุ่มเพื่อไปเก็บภาพแสงแรกกัน








พอฟ้าสางก็รีบกลับไปทำธุระที่ห้องกันสักเล็กน้อยครับ ออกมาไม่นานเหงื่อโซกเต็มหลัง เมื่อเช้าเปลี่ยนชุดแล้วรีบวิ่งออกมาเลย (ฟันไม่ทันได้แปรงแต่จัดน้ำยาบ้วนปากพอไม่บาป) เช้านี้เมฆเยอะมากจนพระอาทิตย์ไม่มาตามนัด แต่ก็ถือว่าโชคดีแล้วครับ เพราะอย่างที่บอกว่าพยากรณ์อากาศก่อนมาบอกว่าเจอแต่ฝนฟ้าคะนองตลอด เอาเป็นว่ามาลุ้นวันที่เหลือไม่ให้เจอฝนก็จะดีใจมากครับ
เช้านี้กลับมาทานอาหารเช้าที่เดิม “Kandooma Cafe” เป็นบุฟเฟ่ต์เหมือนเดิม มีให้เลือกมากมายเช่นเคย ช่วงนี้ลดความอ้วนก็ทานเบาๆ ไปครับ



ทานเสร็จก็กลับไปกลิ้งพร้อมอาบน้ำอีกรอบครับ มาที่นี่อาบบ่อยมาก นอนกลิ้งพักผ่อน พอสายๆ เห็นฟ้าเริ่มสวยแดดมาเลยออกมาเก็บภาพอีกรอบก่อนอำลารีสอร์ทแห่งนี้







มื้อเที่ยงเราก็มาทานกันส่งท้ายรีสอร์ท เป็นเวลาที่ไม่อยากพูดคำอำลาจริงๆ คืนเดียวนี่ถือว่าน้อยเกินไปหน่อย ยังดีที่พึ่งเป็นวันแรกและมีรีสอร์ทมัลดีฟส์อีกแห่งที่จะไปนอนกันต่อ เรายังคงมาจุดนัดพบเดิมที่ “Kandooma Cafe” ซึ่งเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน อาหารเราสั่งเป็นชุด Lunch Set ซึ่งสั่งเป็นจานแล้วสามารถเดินไปตักสลัดและของหวานแบบบุฟเฟ่ต์ต่อได้




ก่อนจากอยากขอบคุณทีมงานที่น่ารักและบริการอย่างอบอุ่นของ “Holiday Inn Resort Kandooma Malidives” อีกครั้ง โดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์และอาหารอร่อยทุกมื้อเลยครับ แล้วขอปิดท้ายในส่วนของรีสอร์ทกันตรงนี้เลยแล้วกันครับ แต่รีวิวยังไม่จบตอน เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวในตัวเมือง Male กันต่ออีกสักหน่อยช่วงท้ายด้านล่างนะครับ
จุดเด่นอย่างหนึ่งของรีสอร์ทนี้อยู่ที่ห้องพักราคากลางๆ — เริ่มต้นที่ประมาณ US$250 ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว ซึ่งปกติแล้วมัลดีฟส์เป็นทะเลที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี — นอกจากนี้ก็ยังสะดวกในการเดินทางเนื่องจากอยู่ค่อนข้างใกล้กับ Male ลงมาทางใต้ไม่ไกลนัก รีสอร์ทแห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักท่องเที่ยวที่วางแผนมาเที่ยวมัลดีฟส์ โดยมีแบรนด์ของ Holiday Inn เป็นมาตรฐาน
มาถึงความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งรีสอร์ทที่อยู่สบาย เป็นการนำเอารีสอร์ทเดิมอะไรสักอย่างมาปรับปรุงและเปลี่ยนแบรนด์ ห้องพักก็สะอาดและแอร์เย็น แม้ว่าตัวอาคารมองจากภายนอกอาจธรรมดาไปนิดนึง ส่วนดีอยู่ที่อาหารอร่อยมากเป็นบุฟเฟ่ต์ (ฟินมากโดยเฉพาะอาหารทะเล) จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับการเดินทางพร้อมทริปสื่อ พนักงานค่อนข้างเป็นมิตรและยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งมีพนักงานคนไทยที่บางทีสามารถสื่อสารได้ง่าย รวมไปถึง Kid’s Club ที่ทางรีสอร์ทภูมิใจนำเสนอว่าเล็งเห็นความสำคัญของการมาเที่ยวแบบครอบครัว พร้อมกับมุมสวนน้ำเล็กๆ ให้เจ้าตัวน้อยได้เล่น รวมถึงกิจกรรมมากมายสำหรับเด็กอีกด้วย
สำหรับใครที่สนใจรีสอร์ทแห่งนี้เป็นทางเลือก สามารถลองไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากแขกที่มาพักตามเว็บรีวิวอย่าง Trip Advisor เพื่อนช่วยในการตัดสินใจได้ครับ สามารถตรวจสอบราคาจากหลายเว็บ หรือบางที Agency ท่องเที่ยวก็มักจะมีแพ็คเกจพร้อมตั๋วเครื่องบินราคาต่อหัวในราคาพิเศษออกมาอีกด้วย บริษัทที่จัดการทริปนี้เล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งสามารถจัดเรทได้ถูกกว่าจองเอง เนื่องจากเอาไปรวมกับตั๋วเครื่องบินและรีสอร์ทที่เป็นพันธมิตรทำให้มักมีโปรราคาพิเศษออกมาบ่อยๆ
ตรงนี้ “พี่พีท” ที่เป็นคนจัดทริปฝากกระซิบว่า หากใครอยากไปมัลดีฟส์ลองปรึกษา “Billion Destinations” และ “Maldives Fanclub” ได้ รับรอง Package กันเองถูกใจแน่นอน รวมไปถึงสายการบิน “SriLankan Airlines” ที่พร้อมพาทุกคนไปมัลดีฟส์ด้วยความสบายทุกระดับ (มีชั้นธุรกิจด้วยนะเออ) บริการได้มาตรฐานในราคาสบายกระเป๋ากว่าใคร
ก่อนขึ้นเรือทางทีมงานก็แจกของที่ระลึกเล็กน้อย พร้อมสั่งลากันด้วยความประทับใจ เห็นอากาศดีฟ้าใสน้ำสวยมากจนอยากอยู่เล่นน้ำต่อ เสียดายเวลาจำกัดก็เลยต้องเดินทางต่อ ขากลับเห็นตอนแรกคลื่นสงบ แต่พอนั่งเรือกลับกระแทกมาก ยังดีที่ก่อนขึ้นเรือได้ยาแก้เมาก่อนหนึ่งเม็ด พอกลับมาถึง Male เห็นเวลาเหลือเฟือก็เลยซื้อทัวร์ข้ามฟากไปเที่ยวกันก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เรือของทางรีสอร์ทจะพาเรามาส่งที่เดิม บริเวณท่าเทียบเรือของสนามบิน ซึ่งอย่างทีเกริ่นไปข้างต้นว่าเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากการถมทะเล ดังนั้นเวลาจะเดินทางเข้าเมืองหลวง Male ก็ต้องนั่งเรือข้ามฟากไป ซึ่งราคาก็ไม่แพงนัก และใช้เวลานั่งเพียงไม่ถึงสิบนาที แนะนำว่าให้ขึ้นเรือตอนใกล้ออกดีกว่า โดยเฉพาะคนที่เมาเรือ หากขึ้นเร็วไปนั่งรออาจเมาเรือได้เพราะคลื่นโยกแรงทีเดียวครับ แต่พอเรือแล่นแล้วก็พอทนครับ ระหว่างที่ผมไปทางรัฐบาลมัลดีฟส์กำลังดำเนินโครงการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองมัลดีฟส์และสนามบินซึ่งอยู่อีกเกาะนึง คาดว่าอีกไม่นานเกินรอคงแล้วเสร็จ การเดินทางและขนส่งต่างๆ คงสะดวกขึ้นครับ

พวกเราได้ซื้อทัวร์เหมายกทีมเป็นคนไทยล้วนๆ จะมีไกด์นำเที่ยวทัวร์เดินชมรอบเมือง Male ซึ่งก็เป็นเกาะเช่นกัน


สำหรับทัวร์หากถามความเห็นผมแล้ว ถ้ามีเวลานี่แนะนำเลยครับ หรืออย่างน้อยก็นั่งเรือข้ามฟากเปิดแผนที่เดินเล่นรอบเกาะแบบไม่ง้อทัวร์ก็ได้ครับ เพราะไหนๆ ก็เดินทางมาแล้ว จะได้ลองดูวิถีชีวิตและก็ผู้คนท้องถิ่น แต่หากใครไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนก็ซื้อทัวร์จะดีกว่า ไกด์จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ให้ข้อมูลสถานที่สำคัญและเล่าเรื่องประวัติต่างๆ น่าสนใจทีเดียว ส่วนผมมาสายถ่ายรูปก็เน้นเดินท้ายขบวนคอยเก็บภาพเรื่อยๆ แอบฟังที่ไกด์เล่าบ้างเป็นช่วงๆ อารมณ์ประมาณเด็กหลังห้องตั้งใจเรียนน้อยกว่าชาวบ้าน แต่ก็พอจับใจความอะไรได้บ้างครับ



เมือง Male นอกจากจะเป็นเมืองหลวงของมัลดีฟส์แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นศูนย์กลางธุรกิจ การค้า รวมถึงเป็นที่ตั้งหน่วยงานสำคัญทางราชการต่างๆ หากมีโอกาสมาเดินแล้ว ห้ามพลาดที่จะมาเดินเล่นชม “Hukuru Miskiiy” สุเหร่าเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายผ่านกาลเวลา
Recommended :
National Museum : พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเป็นสถานที่เรียนรู้วิถีชีวิตชาวมัลดีฟส์ จัดแสดงศิลปวัตถุโบราณต่างๆ ทั้งเครื่องใช้และเครื่องดนตรี ภาพถ่ายบุคคลสำคัญ เป็นต้น
Islamic Center : สุเหร่าที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงามและใหญ่สุดในมัลดีฟส์ ตัวอาคารสีขาวและยอดโดมเป็นสีทอง สามารถชมความงามภายในได้
Hukuru Miskiiy / Male Friday Mosque : สุเหร่าที่มีอายุเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2199 จุดเด่นเป็นผนังที่สร้างด้วยหินปะการัง ส่วนประตู หน้าต่าง และเพดานทำจากไม้ที่แกะสลักด้วยลวดลายอันงดงาม นอกจากนี้ ยังเป็นที่ฝังพระศพของสุลต่านแห่งมัลดีฟส์ด้วย
Fish Market : สัมผัสตลาดพื้นเมือง ซึ่งทุกวันช่วงบ่ายสองเป็นต้นไปจะมีเรือประมงนำปลามาขายสดๆ


ประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือไม่ถึงดี พวกเราก็วนกลับมาครบรอบ ปิดท้ายด้วยแวะของที่ระลึก นั่งตากแอร์ในร้านสักพักก็มาจบการเดินชมเมืองที่ตลาดปลา ถึงตรงนี้ผมเริ่มหมดแรง เนื่องจากแดดค่อนข้างร้อน บวกกับยาแก้เมาเรือที่ทานไปตั้งแต่ออกจากรีสอร์ทพึ่งจะออกฤทธิ์ ทำเอาง่วงพอสมควร คนอื่นเดินไปชมตลาดปลาต่อ ผมชักไม่ไหวเลยนั่งหลบแดดรออีกฟากนึง

บริเวณท่าเรือจะเห็นคนขนของขึ้นลงจากเรือ จะมีเรือขนของและเรือชาวประมงจอดเต็มไปหมด บรรยากาศค่อนข้างคึกคักทีเดียว ผู้คนบนเกาะดูหน้าตาดุๆ แต่ก็ดูค่อนข้างเป็นมิตร

พอเสร็จจากเดินทริปชมตลาดบริเวณท่าเรือ พวกเราก็นั่งเรือข้ามฟากกลับมายังสนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่องภายในประเทศไปหมู่เกาะทางเหนือของมัลดีฟส์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรโปรดติดตามได้ตอนหน้าได้เร็วนี้แน่นอนครับ อยากบอกว่าเป็นไฮไลท์อีกแห่งของการเดินทางมามัลดีฟส์เลยทีเดียว
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านจนจบ รวมถึงขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านอีกครั้งด้วยครับ
ขอบพระคุณ “SriLankan Airlines” ที่สนับสนุกเรื่องการเดินทางอันแสนประทับใจ โดยเฉพาะ “น้องแอน” ทีมงานจากสายการบินที่ตามมาคอยอำนวยความสะดวกและประสานงานตลอดทริปนี้ ช่วยดำเนินการจัดที่นั่งริมหน้าต่างให้ชมวิวสวยๆ ตลอดทริปจากบนฟ้าเหนือทะเลมัลดีฟส์
ขอบพระคุณ “Holiday Inn Resort Kandooma Maldives” และทีมงานทุกท่าน สำหรับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น พร้อมการบริการที่ไม่ลืมเลือน อาหารอร่อยทุกมื้อ รวมไปถึงห้องพักที่เป็นส่วนตัวและอยู่สบาย
ทริปนี้จะไม่เกิดขึ้น หากไม่มี “Billion Destinations” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการท่องเที่ยวครบวงจร อาทิ การให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก รถเช่า เรือสำราญ วีซ่า ฯลฯ และ “Maldives Fanclub” แหล่งรวมข้อมูลแบบเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับมัลดีฟส์ ดำเนินงานโดย “คุณพีท” ที่จุดประกายและสานฝันของทริปในดวงใจผมให้เป็นจริงขึ้นมา
สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ “Canon Image Square by Photo Bug Chiang Mai” และ “Canon Marketing (Thailand) Company Limited” ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังการเก็บภาพบันทึกความทรงจำดีๆ กลับมาเช่นเคยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สำหรับอุปกรณ์ถ่ายภาพ ขอบคุณ “คุณอ้อม” และ “เพื่อนป๊อบ” มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
เชิญชมภาพใน Gallery ด้านล่างครับ
One thought on ““Maldives 1st Time” ~ Episode I : Escape to “Holiday Inn Resort Kandooma Maldives””