วันพักร้อนอันแสนประทับใจ
— “เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ทแอนด์สปา” —
สำหรับรีวิวนี้ ขออนุญาตเล่าย้อนรอยไปเมื่อประมาณ “กรกฎาคม 2556” เกือบสองปีแล้วครับสำหรับทริปนี้ โดยปลายทางอยู่ที่ “เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ทแอนด์สปา (Renaissance Phuket Resort & Spa)” – http://www.renaissancephuket.com – ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นรีสอร์ทที่ผมฝันอยากมาพักอยู่นานทีเดียว จนในที่สุดมีโอกาสได้มาคนเดียว ทั้งนี้เนื่องจากมีงานต้องไปสัมมนาแถวป่าตองพอดี โดยในคืนแรกก็พักอยู่โซนนั้นล่ะครับ พอเสร็จงานก็เลยให้รางวัลตัวเอง ลาพักร้อนสองวันแล้วค่อยเดินทางกลับเชียงใหม่ เสียดายตรงที่ว่าการมาพักผ่อนครั้งแรกนี่ต้องบินเดี่ยวตามลำพัง แต่ยังไงก็ตาม ผมได้ตกหลุมรักรีสอร์ทริมหาดไม้ขาวแห่งนี้ไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าจะมาพักเพียงคนเดียว และหลังจากครั้งนั้นจนถึงวันนี้ (ปลายปี 2558) ผมได้กลับไปอีกถึง 4 ครั้ง พร้อมกับครอบครัว และแน่นอนว่า “เรเนซองส์ภูเก็ต” กลายเป็นรีสอร์ทในดวงใจของครอบครัวผมไปเป็นที่เรียบร้อยครับ เดี๋ยวลองมาดูกันดีกว่าครับ ว่าทำไมผมถึงประทับใจ จนต้องกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่าทุกคราที่ได้กลับมาภูเก็ตในรอบสองปีนี้
(พื้นที่โฆษณาครับ) ก่อนไปอ่านอย่าลืมตามไปแวะทักทายกันที่เพจและอินสตาแกรมได้นะครับ
Facebook : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/warodomphotography
แรงบันดาลใจแรกสุดที่อยากมาตอนนั้น เกิดจากความชอบงานออกแบบของรีสอร์ทแห่งนี้เป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักจะได้มาถ่ายรูปรีสอร์ทที่สวยๆ พักผ่อนบรรยากาศดีๆ ในวันที่อยากผ่อนคลายลืมเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายที่โถมเข้ามาในช่วงนั้น ทางรีสอร์ทได้จ้างทีมออกแบบจาก “49GROUP” ส่วนงานสถาปัตย์เป็นของ “Architect 49 (A49)” ที่พี่เกี๊ยงวงเฉลียงทำงานอยู่ ด้านภูมิสถาปัตย์ทั้งหลายก็มีทีม “Landscape Architect 49 (L49)” มาควบคุม และสุดท้ายงานตกแต่งภายในก็ “P49 Deesign” ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่ผมติดตามชื่นชมผลงานมาตลอด โดยทั้งหมดนี่จัดเป็นดรีมทีมอันดับต้นๆ ของเมืองไทยกันเลยทีเดียว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็เริ่มการเดินทางกันได้ครับ
กองทัพเดินด้วยท้องครับ — มื้อเที่ยงแวะทาน “Burger King” ที่สนามบินเชียงใหม่ก่อนออกเดินทาง
วิวระหว่างทางก่อนลงดอนเมือง
เครื่องลงต้องรีบไปต่ออีก Flight วุ่นวายมาก
ปกติผมจะบินตรงจากเชียงใหม่ไปภูเก็ตเลยครับ เพราะสะดวกและเร็วกว่า ซึ่งถ้าพูดถึงตารางบินและจำนวนเที่ยวบินต่อวัน ผมจะบินกับ “Bangkok Airways” หรือไม่ก็ “Thai Air Asia” เกือบตลอดครับ เสียดายคราวนี้จองแบบฉุกละหุกไปหน่อย เนื่องจากกว่าจะคอนเฟิร์มเรื่องสัมมนาก็ไม่เหลือตั๋วพิเศษแล้วครับ แต่ถ้าเป็นทริปเที่ยวนี่ ผมมักจะวางแผนล่วงหน้าเป็นปีเลยจะได้ซื้อตั๋วโปรราคาประหยัด รอบนี้จัดการเรื่องตั๋วล่าช้ามาก เช็คทุกสายการบินแล้วพบว่ามาแวะลงดอนเมืองแล้วค่อยต่ออีกเที่ยวบินจะได้ราคาคุ้มค่าสุด ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศลองบินกับ “นกแอร์” อีกสักครั้ง หลังจากห่างหายไปหลายปีมากๆ
เครื่องใหม่เอี่ยมปลื้มมากครับ (ไฟเพดานเปลี่ยนสีได้ด้วยนะเออ)
ไม่ได้บินกับนกแอร์มาหลายปีดีดัก แต่พอมาเจอเครื่องใหม่แล้วก็ถูกใจมาก แอร์ก็บริการดีและก็น่ารักเช่นเคย เสียดายไม่ทันได้เก็บภาพปลากรอบกลับมาด้วย
เดินเล่นระหว่างรอเครื่องบินมาเทียบท่า — ไปภูเก็ตได้บินกับนกสีส้มลาย “นีโม”
อยากลองบินกับหางแดงลายพี่บัวขาวบ้างจัง
วิวที่คุ้นเคยก่อนเครื่องลงที่ภูเก็ต
ตอนบินออกจากเชียงใหม่ฟ้าก็ยังใสอยู่ดีๆ แต่ว่าพอเริ่มใกล้ถึงภูเก็ตเจอเมฆเต็มไปหมดอย่างที่เห็นครับ วันนี้อุตส่าห์ตั้งใจนั่งฟากซ้ายเตรียมถ่ายวิวเต็มที่เลยครับ เสียดายฟ้าไม่เป็นใจก็เลยเงิบอย่างที่เห็น ลงเครื่องเสร็จผมก็มีนัดทานมื้อเย็น “Kabuki Japanese Cuisine Theatre” ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมฝันมานานที่ “JW Marriott Phuket Resort & Spa” ก่อนที่จะไปค้างต่อที่ป่าตองเพื่อสัมมนาในวันรุ่งขึ้นครับ
ตามรอยอาหารญี่ปุ่นในตำนาน :
ลิ้มรสสุดยอดอาหารญี่ปุ่น “คาบูกิ แจแปนนิส คูซีน เธียเตอร์” — “โรงแรมเจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต รีสอร์ทแอนด์สปา”
https://oatenroute.com/2015/12/03/0201005
ห้องนอนแบบนี้หลับฝันดีแน่นอนครัช
ตัดภาพไปที่วันถัดมาเลยดีกว่า พอเสร็จจากงาน กว่าผมจะเข้าถึงโรงแรมก็มืดแล้วครับ เช็คอินเสร็จพนักงานก็พาผมไปยังห้องพัก ซึ่งคราวนี้ได้นอนห้องพักแบบ “Pool Villa” แต่คืนนี้มืดแล้ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยพาทัวร์กันอีกรอบนะครับ
“Sand Box Restaurant & Bar” — บรรยากาศเหมือนกำลังทานอยู่บนหาดทรายเลยทีเดียว
มาถึงก็เหนื่อยแทบหมดแรง แต่ว่าก็ต้องไปหาอะไรทานก่อนเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มื้อกลางวัน ว่าแล้วก็เปิดแผนที่อันน้อยที่ทาง Front Office แจกมาให้พร้อมกับ Key Card เดินฝ่าความมืดไปห้องอาหารที่ใกล้สุด วันแรกมาถึงมืดๆ ก็ยังงงอยู่ว่าจะทานที่ไหนดีครับ เพราะว่าโรงแรมนี้มีห้องอาหารถึงห้าร้านให้เลือกทาน สำหรับคืนนี้ขอลองฝากท้องที่ “Sand Box Restaurant & Bar” ก่อน
ห้องอาหารตรงนี้จะเปิดโล่งไม่มีแอร์ครับ ตั้งอยู่ริมหาดรับลมบรรยากาศดีมาก อยู่ติดกับสระว่ายน้ำพอดี จุดเด่นของห้องอาหารนี้อยู่ที่พื่นจะไม่เป็นกระเบื้องหรือหินขัดเหมือนที่อื่น แต่จะเอาทรายละเอียดมาเทให้นุ่มเหมือนชายหาดจริง ตรงตามความหมาย “กล่องทราย (Sand Box)” ตอนกำลังทานอาหารอยู่เห็นปูลมตัวใหญ่ (โตกว่านิ้วโป้ง) วิ่งเล่นด้วย ประมาณว่าขุดรูทำบ้านอยู่ตรงร้านอาหารเลย ท่าทางคงสบายเพราะว่าไม่มีคลื่นมาซัดกวนใจ
มาถึงตรงนี้ก็มีเรื่องอยากแชร์ครับ พนักงานที่น่ารักเป็นกันเองมากๆ ซึ่งผมว่าคนที่เคยไปพักมาแล้วคงรู้สึกคล้ายกัน อย่างที่ห้องอาหาร ครั้งแรกที่ผมไปก็ชวนคุยทักทายและก็แนะนำอาหารอย่างเป็นกันเอง เป็นความประทับใจแรกที่ได้มาถึงโรงแรมนี้เลยในเรื่องการบริการครับ เหมือนอย่างที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้จากเพื่อนและคนรอบตัวที่เคยพักก่อนหน้านี้ หากเป็นไปได้ก็หวังว่าจะได้เจอบริการอย่างนี้ตลอดไปเวลามาเยือนครับ
ในส่วนครัวก็จะเป็นแบบเปิดให้เห็น เน้นทำอาหารให้ดูกันสดๆ เวลาทำพิซซ่ากลิ่นหอมมากจนอยากสั่งมาทานบ้างเลยครับ
สำหรับห้องอาหารนี้ เมนูทั้งหลายก็จะประมาณอาหารกลางวันเบาๆ ทั่วไป มีอาหารจานเดียวให้เลือก หรือตอนกลางคืนก็จะมีบาร์และของกินเล่น ส่วนใหญ่ก็สะดวกเวลาแขกมาเล่นน้ำแล้วอยากทานอะไรง่ายๆ แต่ว่าถ้าอยากจัดเต็มก็สามารถสั่งอาหารไทยข้ามห้องมาจากร้านอาหารไทยที่อยู่ข้างบนได้เช่นกันครับ
มาถึงโรงแรมนี่ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลย ขอลองสั่งอะไรที่ชื่นใจมาลองก่อนอย่าง “Pineapple Lychee Mojito” พอดีชอบลิ้นจี่เป็นทุนเดิม ก็ออกมาอย่างที่เห็นในรูปครับ
แป้งพิซซ่าบางๆ หอมกรุ่นจากเตามาทานเล่นระหว่างรออาหาร
ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ พนักงานก็มีของทานเล่นมาให้รองท้องก่อน ถ้าจำไม่ผิดคุ้นว่าจะมีแทบทุกห้องอาหารเลย ยกเว้นห้องอาหารที่เป็นพวก Bakery หรือ Bar จะไม่มีมาให้ครับ
“Tasty Phuket Pork”
อาหารค่ำมื้อนี้ผมลองสั่ง “Tasty Phuket Pork” ตอนสั่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร พอมาเสิร์ฟก็เป็นคล้ายๆ คอหมูย่างจิ้มแจ่มครับ แต่ดูแล้วไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ ถ้าได้ข้าวเหนียวมาทานด้วยจะฟินมากถึงมากที่สุด ก็เลยขอสั่งข้าวเปล่ามาทานคู่ด้วย
ด้านหน้าโรงแรมแถว Main Lobby
ทานข้าวเสร็จก็รีบกลับห้องไปเข้านอนด้วยความเหนื่อย เพราะว่านอนน้อยมาหลายวันแล้ว กลับถึงห้องก็รีบอาบน้ำเข้านอนทันที บรรยากาศโรงแรมตอนเช้าค่อนข้างเงียบครับ แต่ก็มีแขกที่เครื่องลงเร็วมาถึงโรงแรมช่วงนี้เหมือนกัน ประมาณตีห้ากว่าท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว อันนี้เดินงัวเงียเดินโซเซออกมาเลย
บริเวณโถง Main Lobby ของโรงแรมออกแบบสวยมาก โดยเฉพาะยามที่เปิดไฟและเห็นเงาสะท้อนในน้ำ ด้านหลังก็เป็นอาคารห้องพักต่างๆ
ในส่วนของลานที่ยื่นเข้ามาในสระน้ำจะมีอะไรตั้งอยู่ คนแถวนั้นจะเรียกว่า “หินตากับหินยาย” เป็นงานประติมากรรมตกแต่งครับ
ด้านล่างของอาคาร Lobby จะเป็นร้านอาหารหลัก “Loca Vore” ซึ่งสามารถลงบันไดมาได้เลย แต่บางทีผมขี้เกียจก็ใช้ลิฟท์บริเวณด้านข้างมาสบายกว่า
หิวไข่เมื่อไหร่ก็แวะมาที่ซุ้ม “Story of Egg”
“Loca Vore” เป็นห้องอาหารสำหรับรับประทานอาหารเช้า ให้บริการกันยาวถึงสิบโมงครึ่งเลยครับ เปิดให้บริการสำหรับอาหารทั้งสามมื้อ – เช้า กลางวัน และเย็น – สำหรับมื้อเที่ยงนี่เหมาะมากสำหรับเวลาอยากมาตากแอร์หลบร้อน หรือบางทีเจอฝนผมก็ทานที่นี่ไม่ต้องออกไปเปียกที่ไหนครับ
“ใครไม่ชอบทานเนื้อเชิญทางเน้”
ถัดมาก็จะเป็นซุ้มคนทานมังสวิรัติหรือพวกชอบเน้นผัก ก็จะมี “Vegetarian Station” คอยหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตามวันและฤดูกาลครับเพื่อไม่ให้แขกเบื่อ
บริเวณ Island ตรงกลางจะเป็นครัวอาหารร้อน พ่อครัวก็จะคอยปรุงอาหารเติมตามไลน์บุฟเฟ่ต์ โดยแต่ละวันก็จะสลับรายการไปเรื่อยเช่นกัน ส่วนด้านซ้ายก็จะเป็นพวกซุ้มเพื่อสุขภาพ มีน้ำผลไม้คั้นสดให้เต็มไปหมดครับ
พอคั้นน้ำผลไม้เสร็จก็จะนำมาแช่เย็น เรียงรายหลากสีเห็นแล้วอยากชิมให้ครบสำหรับคนชอบทานเย็น แต่ส่วนใหญ่พวกชาติจะชอบทานแบบคั้นสดเลยมากกว่า
นอกจากน้ำผลไม้ ก็มีผักต่างๆ มาปั่นพร้อมกากให้ดื่มด้วย ชอบรสไหนก็หยิบได้ตามสบาย สำหรับผมขอแก้วสีชมพูละกันครับ เห็นสีหวานๆ หลากหลายแบบนี้ก็อดใจไม่ได้ที่จะหยิบมาทาน
ใครที่เป็นคนรักสุขภาพหรือชอบน้ำผักและผลไม้สด มาที่นี่คงสุขใจได้ดื่มกันจนพุงกางไปข้างนึงครับ เวลาคั้นเสร็จก็จะมาวางไว้ข้างบนให้หยิบกันไปได้เลยตามใจชอบครับ
เห็นส่วนผสมน้ำผลไม้ทั้งหลายก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน ชอบอันไหนก็นำมาปั่นได้ตามต้องการ เห็นแล้วรับประกันความสดทั้งผักและผลไม้เลยครับ
เดินมาครบรอบอย่างรวดเร็วครับ ใครชอบทานไอติมตอนเช้าก็มีหลากรสให้เลือกตัก แนะนำว่าห้ามพลาดเลยเพราะเขามีไอติมให้ทานฟรีเฉพาะที่รวมในบุฟเฟ่ต์อาหารเช้านี่ล่ะครับ ถ้าอยากทานตอนกลางวันนี่ต้องซื้อเอา ผมพยายามตามเก็บให้ครบรสเลยทีเดียว สรุปว่าห้องอาหารที่นี่สวยหมดเลย ออกแบบตกแต่งต่างๆ กันไป เดี๋ยวจะทะยอยพาทัวร์ให้ครบนะครับ
“R – Fruit Salad”
ตรงนี้ออกแนวเบาๆ สำหรับคนไม่อยากทานหนักในมื้อเช้า หรือว่าทานพวกผลไม้ล้างปาก ที่เห็นในวันนั้นก็เป็นมะม่วงและแก้วมังกรครับ
“Muesli & Yoghurt”
อาหารเช้าที่นี่ค่อนข้างหลากหลายและมีให้เลือกมากมาย รวมไปถึงอาหารเช้าอย่างพวก Cereal ด้วย
บริเวณใกล้ประตูทางออกเป็นซุ้มพวก Bakery ทั้งหลาย มีขนมทำออกมาสดใหม่เรื่อยๆ รวมไปถึงครัวซองหอมกรุ่นน่าทานมากครับ
ขนมปังต่างๆ ตามมาตรฐานไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้า ซึ่งออกจะมากเกินพอด้วยซ้ำ ที่นี่ค่อนข้างจัดเต็มพวก Bakery พอสมควรทีเดียวครับ
“Renaissance Egg Benedict”
อีกหนึ่งรายการที่ถือว่าเป็น Signature ของห้องอาหาร “Loca Vore” นี้ครับ ถ้าใครชอบทานพวก Egg Benedict ที่นี่จะมี “Renaissance Egg Benedict” ทีเด็ดเป็นเนื้อปู แต่ส่วนตัวผมชอบทานแบบที่เป็นแซลมอนรมควันมากกว่า ซึ่งก็สามารถสั่งทานได้เช่นกันครับ
ทานเสร็จแล้วก็ขอเดินย่อยอาหารรอบโรงแรมซะหน่อย ช่วงที่ผมไปนี่ไม่รู้เป็นยังไง มาภูเก็ตทีไรเจอแต่ฝนหรือพายุตลอดครับ ที่เห็นนี่ถ้าไม่นับวันกลับแล้ว เป็นแสงแดดเพียงครั้งเดียวที่โผล่มาให้ผมเห็นตลอดทริปนี้เลยครับ
บันไดงามๆ ทางขึ้นไปยัง Main Lobby
ฝนตกเป็นพักๆ ตลอดทริปภูเก็ตคราวนี้เลย
บรรยากาศฟ้าขาวไม่มีแสงแดด ไม่อำนวยกับการถ่ายรูปเป็นอย่างมากครับ ก็เลยเดินชิวๆ รอบบริเวณโรงแรม
ลานนี้ช่วงอากาศดีๆ จะมีพนักงานมาให้บริการนวดแก่แขกที่มาพัก
นอกจากการออกแบบภายนอกและการตกแต่งภายในที่สวยแล้ว การวางผังภายนอกของโรงแรมก็สำคัญครับ ส่วนนี้ทางโรงแรมใช้บริการกับ “L49 – Landscape Architect 49” มาออกแบบให้ครับ บริเวณทางทางเดินก็จะมีระแนงไม้สลับกับพื้นปูน และข้างทางเดินก็จะเป็นทรายละเอียดสีขาวและพื้นที่สีเขียว ให้บรรยากาศของการมาพักผ่อนรีสอร์ทริมทะเลมากๆ
ห้องอาหาร “Loca Vore” จะมีส่วนที่อยู่ริมสระน้ำด้วยครับ ในวันที่อากาศดีๆ บางทีตอนทานอาหารเช้า แขกก็เลือกที่จะมานั่งรับแดดอ่อนๆ ยามเช้ากับเก้าอี้แบบนี้ นั่งชิวริมสระน้ำ แต่ผมขี้ร้อนก็ขอเลือกนั่งสบายในห้องแอร์ละกันครับ
ห้องพักที่ไม่ใช่ Pool Villa — Deluxe / R Deluxe / 1 Bedroom Suite — จะเป็นห้องอยู่บนตึกเหมือนโรงแรมทั่วไปครับ โดยรวมผมว่าห้องเริ่มต้นของที่นี่ก็อยู่สบายมากๆ แล้วครับ ตามมาตรฐานของโรงแรมในเครือ Renaissance ซึ่งอาคารห้องพักจะอยู่สองฟากตลอดแนวยาวของรีสอร์ท โดยฝั่งนี้จะอยู่ติดสระน้ำเลยครับ บรรยากาศดีและก็อยู่ใกล้กับห้องอาหารด้วยครับ
สำหรับสะพานข้ามบึง (สระน้ำ) ก็จะทำเป็นระแนงไม้ ทำได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของรีสอร์ทบริเวณที่เป็นสวนป่า
ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เวลาจะไหลเร็วมากครับ เสียดายที่นอนแค่สองคืนเอง เผลอนิดเดียวก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว มาคราวนี้เพื่อให้ได้ลองครบหมด ผมจึงเลือก “The Lounge” สำหรับทานมื้อเที่ยงนี้ เนื่องจากยังไม่ทันหายอิ่มจากบุฟเฟ่ต์มื้อเช้า ก็เลยขอจัดมื้อเที่ยงแบบเบาๆ แทนละกัน บริเวณนี้เน้นมานั่งทานชิวๆ อาหารทานเล่นเสียมากกว่าครับ เหมาะสำหรับคนที่อยากนั่งดื่ม แต่หากอยากทานเมนูหนัก ก็สามารถสั่งจากห้องข้างล่างได้เช่นกัน ตรงนี้บรรยากาศดีน่านั่งมากในช่วงกลางวัน แตจะพีคสุดในช่วงกลางคืน สำหรับคนที่ชอบมานั่งมืดๆ มีเพลงบรรเลงเบาๆ
มาแล้วต้องลองชิมเครื่องดื่มดูเสียหน่อย “Mai Khao Riviera” สีสันไม่ค่อยฉูดฉาดมากนัก เป็นเมนูโค้กใส่น้ำเชื่อมและมะนาวครับ
อิ่มอยู่เลยครับ ขอสั่งเบาๆ เป็นของทานเล่นดีกว่า เป็นปลาดิบของโปรดแล่บางๆ ทานไปพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักมาก
อย่างเดียวก็คงน้อยไป เลยสั่งของชอบอีกอย่าง “Calamari” ปลาหมึกชุบแป้งทอด ซึ่งโดยรวมทุกอย่างก็อร่อยดีครับ แต่ถ้าจะคิดทานเป็นมื้อกลางวันก็ไมค่อยพอ และก็จริงๆ โต๊ะกับเก้าอี้ทำไว้สำหรับจิบชาหรือกาแฟยามบ่าย รวมไปถึงมานั่งดริงก์ยามค่ำคืนพร้อมฟังเพลง สรุปว่ามื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นให้ทานห้องอาหารอื่นจะเหมาะและสะดวกสบายกว่าครับ
“Frozen Coconut Parfait”
หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จ ฝนก็ยังตกมาปรอยๆ ก็เลยย้ายไปทานของหวานล้างปากที่ “Sand Box Restaurant & Bar” เห็นมี “Frozen Coconut Parfait” ท่าทางน่าลองก็เลยสั่งมาชิมดูครับ ตอนแรกก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นแนวไหน พอมาถึงได้รู้ว่าเป็นเหมือนมะพร้าวขูดๆ แล้วนำมาอัดเหมือนไอติม เสิร์ฟพร้อมกับมะม่วงวางเรียงอยู่ข้างบน ไม่ถึงกับเป็นเมนูแนะนำสุดๆ แต่ก็ชอบเป็นการส่วนตัวครับ
เล่นน้ำกลางสายฝนที่ “Main Pool”
นั่งติดฝนอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่าทางอีกนานกว่าจะได้กลับห้อง เลยเดินไปสำรวจบริเวณชั้นบนของร้านอาหารไปพลางๆ ก่อนดีกว่า ด้านบนจะเป็นห้องอาหารไทย มองลงมาเห็นสองสาวเกาหลีกำลังเล่นน้ำกลางสายฝนบริเวณแอ่ง Jacuzzi แล้วมองออกไปด้านหลังไกลๆ ก็จะเป็น “Oceanfront Pool Villa” ซึ่งเห็นวิวทะเลของหาดไม้ขาว
ห้องอาหารไทย “ตะเกียง”
ห้องอาหารด้านบนให้บริการอาหารไทย มีชื่อเรียบง่ายแบบไทยว่า “ตะเกียง (Takieng)” บริเวณเพดานจะตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่ ห้องนี้จะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงเย็นเท่านั้นครับ
ห้องนี้ตกแต่งเรียบง่ายมีสไตล์เน้นงานไม้ สามารถเลือกนั่งในห้องแบบติดแอร์ หรือว่าสูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลบริเวณด้านนอกก็ได้
กว่าฝนจะหยุดได้กลับห้องก็รอนานมาก อากาศค่อนข้างเย็นเลยไม่ได้แช่น้ำในสระว่ายน้ำ กว่าจะได้โดดเล่นก็วันสุดท้ายก่อนกลับเลยครับ จากภายในห้องก็ออกมาเล่นน้ำทางประตูห้องน้ำ หรือว่ากระโดดจากบริเวณปลายเตียงได้เลย ตอนเล่นน้ำแล้วก็อดคิดถึงลูกไม่ได้ เสียดายน่าจะได้มาทริปด้วยกัน เสร็จจากคราวนี้ก็วางแผนว่าจะพาครอบครัวกลับมาอีกแน่นอน ในส่วนของสระว่ายน้ำถือว่าไม่กว้างนัก เหมาะสำหรับว่ายเล่นกันเพลินๆ เวลามาพร้อมกันเป็นครอบครัว ถ้าอยากจัดเต็มก็ต้องออกไปสระใหญ่ริมหาดครับ
มาดูบรรยากาศในห้องตอนกลางวันบ้างครับ เป็นห้องเพดานสูงมีพัดลมอยู่ข้างบน มีห้องแต่งตัวอยู่หลังเตียงบริเวณทางเข้าห้องพัก อันนี้ผมว่าของจริงสวยกว่ารูปที่ถ่ายมาครับ
ในส่วนของสปา “Quan Spa” ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ โดย “Quan” ในภาษาจีนมีความหมายว่า “แหล่งน้ำอันบริสุทธิ์” สปาที่นี่จะล้อมไปด้วยน้ำ และก็มีน้ำมาเป็นส่วนสำคัญในการบำบัดต่างๆ ผมไม่ค่อยถนัดนวดเท่าไหร่เพราะเป็นคนบ้าจี้ก็เลยไม่ได้ลอง (แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน) ก็เลยบอกไม่ได้ว่าสปาที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ ตอนแรกที่ทางโรงแรมชวนให้สปาก็มีลังเลเหมือนกัน เพราะชอบบรรยากาศที่นี่มากเลย พอกลับมาบ้านถึงได้รู้สึกว่าพลาดอย่างแรงที่ได้ว่าไม่น่าปฏิเสธสปาจริง #ความรู้สึกช้าไปหน่อย
“Quan Spa”
บริเวณด้านในของสปาถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญอีกจุดของโรงแรมนี้เลยครับ เคยเห็นนิตยสารท่องเที่ยวเล่มนึงมาถ่ายขึ้นปกตอนช่วงเปิดใหม่ๆ แล้วชอบมาก ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นโรงแรมอะไร จึงได้เปิดข้างในแล้วหาข้อมูล หลังจากนั้น รีสอร์ทนี้จึงเป็นปลายทางในฝันอีกแห่งที่ภูเก็ต จนกระทั่งมีโอกาสมาเยือนในคราวนี้เลยครับ เสียดายนิดนึงที่ว่ามาคราวนี้ไม่เจอฟ้าสวยๆ สักวันครับ
เสร็จจากสำรวจสปาก็กลับมาที่ห้อง บรรยากาศจะคนละแบบกับตอนกลางวัน คืนนี้โรงแรมใจดีเปลี่ยนบรรยากาศมาให้ลองพักแบบ Oceanfront Pool Villa ซึ่งภายในห้องก็จะไม่แตกต่างจาก Pool Villa ทั่วไปครับ มีวิวทะเลเพิ่มเข้ามา แล้วก็มีประตูอีกด้านสามารถออกไปชายหาดได้สะดวกขึ้น
ข้อดีของห้องแบบ Oceanfront Pool Villa คือ สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้จากในห้องเลย ในขณะที่ห้องทั่วไปจะเห็นแต่กำแพงครับ ซึ่งมี Pool Villa เพียงหกหลังเท่านั้นที่จะเห็นวิวแบบนี้ โดยหนึ่งในนั้นเป็น “Duplex Oceanfront Villa” หลังใหญ่แบบสามห้องนอน มีประตูเลื่อนแบบอัตโนมัติออกไปชายหาดได้โดยตรง
Pool Villa ของที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก “เต่ามะเฟือง” หลังคาจะมีลักษณะเหมือนกระดองเต่า ทั้งนี้เนื่องจากหาดไม้ขาวเป็นที่วางไข่ของเต่ามะเฟืองครับ
จากห้องพักเดินเลียบไปก็จะเห็นสระว่ายน้ำ อาคารในรูปจะเป็นห้องอาหารที่ผมมาแวะทานเมื่อกลางวัน ด้านล่างเป็น “Sand Box Restaurant & Bar” ส่วนด้านบนเป็นห้องอาหารไทย “Takieng”
อยากกลับไปดินเนอร์พร้อมฟังเสียงคลื่นอีกจังเลย
ห้องอาหาร “Loca Vore” ช่วงหัวค่ำดูจะเงียบเหงา ไม่คึกคักเท่ากับตอนรับประทานอาหารเช้าและตอนกลางวัน
“The Lounge” นี่เปิดไฟกลางคืนได้บรรยากาศไนท์ไลฟ์มากครับ เหมาะสำหรับมานั่งดื่มพร้อมคนรู้ใจเป็นอย่างมาก ในสระน้ำจะมีไฟระยิบระยับด้วย
ไฟกลางคืนภายใน “The Lounge” จะปรับเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เสียดายอย่างเดียวในทริปนี้ คือ ขาดคนมานั่งเป็นเพื่อนครับ
บริเวณหน้าทางเข้า Main Lobby ตอนกลางคืนจุดไฟสวยเลยครับ ช่วงหัวค่ำแขกต่างชาติก็ทะยอยมาเข้าพักเรื่อยๆ
“Special of the Day : Grilled Scallop & Mussel”
มื้อค่ำวันนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะทาน “Takieng” จะได้เก็บห้องอาหารให้ครบทุกห้องครับ แต่เผอิญว่าไปเจอเมนูพิเศษประจำวัน “Grilled Scallop & Mussel” เลยโดนดักไว้ข้างล่างที่ “Sand Box Restaurant & Bar” ไปซะก่อน ถือว่าเป็น “Special of the Day” ซึ่งจะสลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน เห็นอย่างนี้แล้วอยากได้น้ำจิ้มทะเลสามรสมาทานด้วยเหลือเกิน เพราะน้ำจิ้มที่ให้มาจะออกแนวฝรั่ง เป็นกระเทียมเจียวในเนยผสมมะนาว
“ห้องตะเกียง” เหมาะสำหรับมาดินเนอร์มาก
บรรยากาศเงียบๆ ยามเช้าบริเวณ “The Lounge”
ตัดภาพกลับมาที่เช้าตรู่วันก่อนกลับกันเลยครับ ว่ากันว่าเวลาที่มีความสุขมักจะผ่านไปเร็วมากๆ รู้สึกว่าสองคืนนี่ไม่ค่อยพอจริงๆ รอบหน้ารับรองว่า กลับมาเที่ยวเองจะอยู่หลายคืนกว่านี้ให้จุใจไปเลย
หลังคาทรงกระดองเต่ามะเฟือง — ภาพมุมสูงจากบนตึก
บริเวณด้านหน้า “Doppio Coffee House”
แสงแรกของวันบริเวณ “Main Lobby”
เช้าวันที่สามนี่ถ่ายรูปจัดเต็มหน่อยครับเป็นการส่งท้าย แต่มาที่นี่นอนไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ รอบหน้ากลับมาจะตื่นสายๆ ไม่เน้นถ่ายรูปแล้ว จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของรีสอร์ทได้เต็มที่หน่อย
ช่วงสายพอทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับไปเก็บกระเป๋าที่ห้องเตรียมเช็คเอาท์ครับ ส่งท้ายกันที่ “Doppio Coffee House” ซึ่งยังไม่เคยมาลองทาน ที่นี่จะเป็นพวกอาหารเบาๆ เช่น แซนวิช เบอร์เกอร์ สลัด และก็เค้กต่างๆ ปกติก็เปิดให้บริการสามเวลาเช่นกันครับ
เค้กหน้าผลไม้สีสันสดใสน่าทาน แต่ไม่ไหวแล้วครับ มาคนเดียวนี่ทานได้ไม่ทั่วถึงจริงๆ รอบหน้าจะเอาลูกชายมาช่วยหม่ำด้วยอีกหนึ่งแรง
ไอติมทำเองหลากสีครับ ปกติที่ไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าก็จะมีให้ แต่ที่ห้อง “Doppio Coffee House” จะมีเมนูไอติมผัดด้วย อันนี้ขอเพิ่มราดคาราเมลตอนผัดครับ เป็นการล้างปากส่งท้ายมื้อเที่ยงที่ “Renaissance Phuket Resort & Spa”
“แดดออกเมื่อวันกลับจริงๆ”
สุดท้ายขอขอบคุณ “Renaissance Phuket Resort & Spa” เป็นอย่างมาก สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นมากๆ ช่วงที่ผมไปนี่เป็นจังหวะที่เหนื่อยล้ามาก มาที่นี่เหมือนได้พักผ่อนเต็มที่แล้วจุดพลังขึ้นมาใหม่อีกรอบครับ
(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
คลิ๊กเพื่อชมภาพใน Gallery ครับ
One thought on “Unforgettable Vacation at “Renaissance Phuket Resort & Spa””