“ห้องอาหารม็อกซี่ / ดุสิต ดีทู เชียงใหม่”
— เอ็กซ์ตรีมซันเดย์บุฟเฟ่ต์ลันช์ ~ ความลับแห่งแคริบเบียน —
เดี๋ยววันนี้จะพาไปทานบุฟเฟ่ต์มื้อเที่ยงเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างครับ สำหรับชาวเชียงใหม่ขอแนะนำ “Moxie Restaurant” โรงแรม Dusit D2 Chiang Mai ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่าน Night Bazaar กัน หรือตรง “โรงแรมเชียงอินทร์” เดิมนั่นเลย รอบนี้เป็นครั้งที่สองที่มีโอกาสมาแวะทานอาหารที่นี่ครับ ความจริงไปมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว มัวแต่วุ่นวายโน่นนี่ก็เลยดองนานไปหน่อยครับ
ตามปกติแล้วทุกวันอาทิตย์ ทางห้องอาหาร Moxie ก็จะจัด “บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลวันอาทิตย์ (Sunday Seafood Lunch Buffet)” เป็นประจำ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ถึง 15.00 น. ซึ่งมีอาหารมากมาย ในส่วน seafood ก็จะมีพวก ปูม้านึ่ง หอยนางรมและกุ้งสดใหม่จากทะเล รวมไปถึงปลาดิบต่างๆ เป็นต้น แต่ในวันนี้จะพิเศษกว่า เพราะเป็น “เอ็กซ์ตรีมซันเดย์บุฟเฟ่ต์ลันช์ (Extreme Sunday Buffet Lunch)” จัดขึ้นเฉพาะอาทิตย์สุดท้ายของเดือนเท่านั้นครับ
คราวนี้กลับมาในส่วนของ “Extreme Sunday Buffet Lunch” ซึ่งมาดูว่ามีอะไรพิเศษกว่าบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลในอาทิตย์อื่นๆ บุฟเฟ่ต์อย่างวันนี้จัดเพียงเดือนละครั้งในวันอาทิตย์สุดท้ายของแต่ละเดือน โดยมาใน theme ต่างกัน คราวที่ผมไปจะเป็น “ความลับแห่งแคริบเบียน (Secret of The Caribbean)” โดยทางโรงแรมบอกว่า “ได้นำวัตถุดิบชั้นเยี่ยมมารังสรรค์ความอร่อยในอาหารสไตล์แคริบเบียนมาให้ทุกท่านลิ้มลอง” ส่วนที่เพิ่มมาจากบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล ก็คือ ปูอลาสก้าก้ามโต (ซึ่งต้องจ่ายพิเศษ 300 บาท สำหรับปูอลาสก้าไม่อั้นให้บริการถึงโต๊ะ) ตามที่เห็นนี่ล่ะครับว่าใหญ่แค่ไหน ในเชียงใหม่ค่อนข้างหาก้ามปูอลาสก้าได้ค่อนข้างยาก ที่สำคัญกิโลนึงก็หลายตังค์ทีเดียว
บุฟเฟ่ต์วันนี้โดยรวมจะเลือกใช้วัตถุดิบอาหารที่พิเศษกว่าของบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลวันอาทิตย์ทั่วไป เลือกใช้ชีสในส่วนผสมอาหาร สำหรับหอยนางรมก็จะนำเข้าจากต่างประเทศ มีซุ้ม Coldcut และในส่วนของไลน์อาหารร้อนต่างๆ จะเป็นอาหารทะเลและเนื้อนำเข้าครับ นอกจากนี้ก็จะมี กุ้งเนื้อแน่นสั่งตรงจากทะเล มุมโปรดอย่างปลาดิบและข้าวปั้น รวมไปถึงเมนูอาหารอื่นๆ อีกมากมายกว่า 30 รายการ ในส่วนของเครื่องดื่มจะให้บริการน้ำเปล่า พร้อมชาและกาแฟหลังมื้ออาหาร หากต้องการเครื่องดื่มพิเศษสามารถสั่งเพิ่มนอกเหนือจากส่วนบุฟเฟ่ต์ครับ
Extreme Sunday Buffet Lunch : ราคาต่อท่าน : ผู้ใหญ่ 1,200 บาท / เด็ก 600 บาท (สุทธิต่อท่าน) — จ่ายเพิ่มเติม 300 บาท เพื่อทานปูอลาสก้าก้ามโตเสิร์ฟถึงโต๊ะแบบไม่อั้น เวลา : 12.00 น. – 15.00 น. — เฉพาะวันอาทิตย์สุดท้ายของแต่ละเดือน
หมายเหตุ : ตามปกติมักจะมีโปรประจำเดือน “มา 4 จ่าย 3” แนะนำว่าหาให้ครบขาจะช่วยลดค่าเสียหายไปพอสมควรครับ
Sunday Seafood Lunch Buffet : ราคาต่อท่าน : ผู้ใหญ่ 599 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่ม) / เด็ก 299 บาท เวลา : 12.00 น. – 15.00 น. — ทุกวันอาทิตย์ ยกเว้นอาทิตย์สุดท้ายของเดือน
มาถึงตรงนี้ขอแอบนอกเรื่องนิดนึง (ไม่เกี่ยวกับบุฟเฟ่ต์แต่เผอิญไปอ่านเจอครับ) หลายคนรวมถึงผมคงสงสัยว่าทำไมปูอลาสก้า (Alaskan King Crab) ซึ่งได้ฉายาว่า “ราชาแห่งปู” จึงเป็นสุดยอดปูและมีราคาแพงมหาโหดที่สุดในโลก หากใครเคยดูพวกสารคดีของ Discovery อาจจะพอทราบกันบ้าง แต่ผมขอเพิ่มเติมไว้เป็นความรู้รอบโต๊ะนะครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า “ปูว์อลาสก้า” ก็ย่อมมาจากอลาสก้าใช่ไหมครับ ไม่ได้หาง่ายๆ ตามอ่าวไทยหรืออันดามันเป็นแน่แท้ เนื่องจากความยากลำบากและโหดร้ายในการจับปู จนได้ชื่อว่า “Deadliest Catch” นั่นเอง อาชีพที่ได้ชื่อว่าอันตรายและรายได้สูงสุดอย่างนึง นักจับปูอลาสก้านี้จึงมีความเสี่ยงสูงมากแต่รายได้ก็ดีมากเช่นกัน ในช่วงเวลาที่ออกทะเลไปไม่กี่วัน ถ้าได้ปูกลับมาตามเป้าก็แทบจะตั้งตัวได้เลยทีเดียว ตกเป็นเงินไทยคนนึงก็ประมาณครึ่งล้านเท่านั้นเอง นักจับปูต้องทนอยู่ในสภาวะหนาวเย็นสุดๆ ในช่วงฤดูจับปูอลาสก้าซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ เพียงสองสามเดือน ถึงแม้ไม่ได้ดำน้ำลงไปจับเอง แต่สภาพอากาศอันเลวร้ายจนทำมีโอกาสเจอคลื่นสูงถึง 10-15 เมตร ซัดมาบนเรืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดดูนะเหมือนเล่น Ice Bucket Challenge กันอย่างต่อเนื่อง คงพอเดาได้ว่าน้ำทะเลแถบขั้วโลกเหนือจะเย็นขนาดไหน ถึงแม้ว่ามีชุดป้องกันก็ตาม ชาวประมงที่ออกไปจับจึงมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้สูง จากสภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia) เกิดจากภาวะ “การสูญเสียความร้อนโดยฉับพลัน” หรือจมน้ำเพราะคลื่นอันแสนแรงที่โหมกระหน่ำใส่เรือจนพลัดตกจากเรือ เช่น กรงเหล็กที่ใช้จับปู ในการจับปูจะใช้ “ลอบ (pot)” มีลักษณะเหมือนกล่องกรงเหล็ก จากนั้นก็จะมีเหยื่อล่อไว้ด้านในแล้วจึงหย่อนลงไปในน้ำ (ปกติใช้ปลาเป็นนกต่อ) ทิ้งไว้ประมาณสองถึงสามวันจึงมายกขึ้น โดยมีทุ่นลอยน้ำเป็นสัญลักษณ์ กรงเหล็กเหล่านี้หนักถึง 600-800 ปอนด์ (หรือราว 300 กิโลกรัม) ต่อหนึ่งกรง บ่อยครั้งที่นักจับปูก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตเครนทับเช่นกัน สำหรับปูเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่ความลึก 600-1,600 ฟุต หรือประมาณ 200-500 เมตร เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่า ปูอลาสก้านี่จะราคาสูงได้ถึงราวกิโลกรัมละ 3,000 บาท (โดยทั่วไปก็ราว 15 ปอนด์ หรือ 7 กิโลกรัม) ตามปกติ ปูที่ส่งออกมาขายมักจะเป็นแบบปรุงสุกแล้วก็แช่น้ำแข็งอย่างที่เราเห็นกันทั่วไปครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.discovery.com/tv-shows/deadliest-catch
ในซุ้มอาหารทะเลที่เสิร์ฟมาบนน้ำแข็ง ก็จะมีหอยนางรมสดหอมหวานชื่นใจ (ไว้ปลุกพลังคอสโม) และก็หอยแมลงภู่ที่สุกเรียบร้อย สองอย่างนี่ทานกับน้ำจิ้มทะเลก็ฟินแล้ว พูดแล้วก็น้ำลายไหลเลย
เสร็จจากซุ้มอาหารทะเล ขอพาทัวร์โซนอื่นบ้าง แน่นอนครับ สำหรับแก้เลี่ยนก็ต้องมีพวกสลัดต่างๆ ไว้ด้วย ตรงนี้ผมก็เดินโฉบไปมาและก็ตักบ้างเล็กน้อยพอไม่บาปครับ
ถ้าใครขาดแป้งไม่ได้ก็ต้องเดินมาดูซุ้มขนมปัง จะได้ทานครบสูตร แต่ผมมองชำเลืองและเกือบเดินผ่านไปเพราะไม่อยากโดนตัดกำลัง ท้ายสุดก็ต้องหยิบมาหนึ่งก้อนเพราะลูกชอบทานครับ
นอกจากนี้ ก็จะมีซุ้มอาหารปรุงสำเร็จและพวกบาบีคิวต่างๆ ที่คอยปิ้งย่างและเติมตลอดเวลา ได้แก่ ปลาหมึก ไก่ แกะ กั้ง ปลา ไส้กรอก เป็นต้น แต่ละอย่างก็น่าทาน เดินเลือกตักจนแทบไม่ไหว ก็พยายามคีบมาอย่างละนิดละหน่อยจะได้ทานทั่วถึงครับ
มาถึงซุ้มของคนชอบเส้นครับ พาสต้าเหมือนเป็นซุ้มมาตรฐานที่จัดทุกเดือนในไลน์บุฟเฟ่ต์ มีเส้นให้เลือกมากมาย ทั้งเส้นกลม แบน และหมึกดำ จากนั้นก็ขอให้พ่อครัวปรุงว่าจะใส่ซอสและเครื่องอะไรบ้าง ผมชอบเส้นหมึกดำผัดซอสครีมใส่ปูนิ่มครับ แต่ถ้าไม่ทานเลี่ยนก็แนะนำเป็นซอสมะเขือเทศดีกว่า
อันนี้เป็นซุ้มโปรดภรรยาผมครับ (ส่วนผมไม่ค่อยเท่าไหร่) แป้งกรอบๆ ทานกับ salsa
และก็วนกลับมาโซนญี่ปุ่น หลักๆ ก็เป็นปลาดิบและข้าวปั้นครับ ปลาแซลมอนยอดนิยมที่คอยเติมแบบไม่อั้นกันเลยทีเดียว แต่ถ้าบางทีพนักงานจัดไม่ทันก็บอกได้ครับ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าเป็นเมนูยอดนิยมของคนไทยมาเร็วเคลมเร็ว พึ่งเอาลงไม่นานพอหันมาอีกทีก็หายเรียบ
พอเริ่มอิ่มก็ขอปิดท้ายกันด้วยของหวานนะครับ ส่วนใหญ่หลายอย่างก็คล้ายกับรอบแรกที่ผมมาเลยไม่ค่อยได้ถ่ายมา เดี๋ยวยังไงจะเอาของรอบก่อนมาเขียนลงอีกทีครับ อาทิตย์นี้ก็เข้ากับ theme ออกแนวโจรสลัดครับ เสียดายว่าตั้งทิ้งไว้นานไปหน่อยกว่าจะได้มาแวะทาน มัวแต่จัดการอาหารหลักก่อน เมนูในรูปนี่ผมค่อนข้างเฉยๆ ถ้าได้ลองตอนเสร็จใหม่คงดีกว่านี้ครับ
แก้วนี้เป็นเครื่องดื่มสำหรับสั่งเพิ่มเป็นพิเศษครับ เรียกว่า “Foam Coak Mocktail” พอดีเห็นโต๊ะข้างๆ สั่งแล้วดูน่าทานอยากลองดูบ้างครับ เพราะปกติเป็นคนชอบทานโค้กอยู่แล้ว
ยังไงก็ตาม ผมมีเมนูโปรดที่ฟินทุกครั้งอย่าง “Crepe Suzette” ทำใหม่ทุกครั้งให้แขกที่มารอคิว ใส่เนย น้ำส้ม ผลไม้ลงไป รอไม่นานนักก็ได้ทานแล้วครับ ของผมนี่ตักไอติมไปทานคู่ด้วย รอบนี้เช่นเคยกลับมาตักสองทีเลย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : (053) 999-999 / เห็นเบอร์แล้วของขึ้นอยากได้มาเสริมบารมีที่บ้านจังเลย
โดยทั่วไปภาพรวมก็ประมาณนี้ครับ แต่ก็มีบางเมนูที่เก็บมาไม่ครบเหมือนกัน พยายามถ่ายอันที่น่าสนใจและชอบเป็นการส่วนตัวมา ในแต่ละเดือน Extreme Sunday Buffet Lunch ก็จะเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลาหรือเทศกาลต่างๆ ยังไงลองมาลุ้นกันว่าแต่ละเดือนจะเป็นอะไรดีกว่าครับ
(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
สำหรับ Gallery ภาพล้วนๆ แบบไม่เน้นเรื่องราวเชิญจัดเต็มด้านล่างเลยครับ
One thought on “Extreme Sunday Buffet Lunch ~ Secret of the Caribbean at “Moxie Restaurant / dusitD2 Chiang Mai””