กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “Hong Kong Disneyland”
— Season 2 · ฤดูใบไม้ผลิ 2015 : ช่วงเวลามหัศจรรย์ฤดูใบไม้ผลิกับ “100 ความสนุกไม่รู้จบ” —
อีกครั้งกับทริป “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์” หลังจากที่ปลายปีที่ก่อนมีโอกาสไปเที่ยวเป็นครั้งแรกพร้อมกับทริปสื่อแล้วประทับใจมาก จนต้องรีบจัดโปรแกรมพาลูกกลับไปตามรอยแบบเร่งด่วนครับ ซึ่งผมได้วางแผนล่วงหน้าข้ามปีตั้งแต่ตอนกลับมาจากทริปครั้งนั้น ทันทีที่เจ้าตัวแสบของผมปิดเทอมก็ได้เวลากางปีกบินลัดฟ้าไปฮ่องกงกันเลย ช่วงต้นมีนาคมผมจึงเริ่มจัดการเรื่องตั๋วและที่พักทั้งหมด โดยไม่ค่อยวุ่นวายนัก ทั้งนี้เพราะว่าช่วงเวลาสองคืนกับเกือบสามวันเต็ม พวกเราจะอยู่กันแต่บริเวณดิสนีย์แลนด์รีสอร์ทอย่างเดียว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสถานที่เที่ยวอย่างอื่น หรือการเดินทางต่างให้ยุ่งยากครับ งานนี้พ่อกับแม่จึงเสียสละงดข้ามฟากไปช้อปบนเกาะฮ่องกงเพื่อให้ทริปไปเมืองนอกครั้งแรกของลูกชายจัดเต็ม ส่วนผมก็อดสอยกันพลาไปต่อเล่นที่เมืองไทยเช่นกัน
แต่ก่อนอื่นคงต้องขอบคุณ “Thai Air Asia” ที่อำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทาง และที่ขาดไม่ได้ “Hong Kong Fanclub” แหล่งรวมข้อมูลแบบเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องกง โดย “ลุงเด้งและป้าไก่” ที่ให้คำแนะนำช่วยเหลือทุกด้าน รวมถึงให้บริการจองห้องพักพร้อมอาหารเช้าได้ในราคาพิเศษกว่าที่อื่นครับ
Millions thanks to “Hong Kong Disneyland” and “Joey” for our magical time at Disneyland Resort.

เช่นเคยเหมือนทริปก่อนครับ เที่ยวบินไปฮ่องกงนี่ออกแต่เช้ามืด (จากกรุงเทพก็เช่นกัน) ผมชอบเวลาของทางไทยแอร์เอเชียมาก ถึงแม้ว่าออกเช้ามืดก็ตาม แต่เวลาท้องถิ่นที่ไปถึงฮ่องกงนี่ทำให้สามารถเที่ยวต่อได้เลยโดยไม่เสียเวลา สำหรับลูกชายผมชอบเครื่องบินมากเป็นพิเศษ มาเที่ยวนี้แย่งที่นั่งประจำริมหน้าต่างของผมเลย

เที่ยวบินของผม “FD 2305 / CNX-HKG” จะออกจากเชียงใหม่เวลา 06.00 และถึงฮ่องกงตอน 09.45 ต้องปรับเวลาไป +1 เป็นเวลาท้องถิ่นที่เร็วกว่าบ้านเรา ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมง แต่เวลาขากลับถ้าเลือกบินตรง “FD 2306” เวลาจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะจะออกจากฮ่องกงตอนเช้าเลย ตั้งแต่ 10.35 am แล้วก็ถึงเชียงใหม่ตอน 12.20 pm ผมว่าเหมือนเสียเวลาเที่ยวไปคืนนึงเปล่าๆ ไม่คุ้มค่าโรงแรมที่นอน (ถ้าในอนาคตมีการปรับเป็นบินกลับตอนเย็นคงจะสะดวกมาครับ) จึงตัดสินใจนั่งเครื่องไปลงกรุงเทพแล้วค่อยต่อกลับเชียงใหม่อีกทีครับ ซึ่งจะทำให้พวกผมมีเวลาเที่ยวอีกเกือบหนึ่งวันเต็ม สำหรับเที่ยวบินจากกรุงเทพจะมีให้เลือกถึงสามเที่ยวบินต่อวัน โดยผมเลือกเที่ยวตอนหัวค่ำจะได้ถึงเมืองไทยไม่ดึกเกินไป
รายละเอียดเที่ยวบิน :
FD 2305 : CNX-HKG / 0600-0945 — Duration : 2h 45m
FD 2306 : HKG-CNX / 1035-1220 — Duration : 2h 45m

ระหว่างทางนี่ได้สั่งอาหารทานบนเครื่องล่วงหน้ามาก่อนครับ หลังจากรอบที่แล้วลอง “ข้าวกะเพราไก่หม่อมน้อย” ที่เผ็ดจนไฟออกปาก (แต่รสดีมากเหมาะสำหรับคนชอบทานรสจัด) เลยขอเปลี่ยนเป็น “ไก่ย่างดาด้าพร้อมข้าวเหนียว” ซึ่งอร่อยจริงไม่ผิดหวังแน่นอน เหมือนทานไก่ย่างรสเด็ดไม่แพ้หน้าปากซอยแถวบ้าน
เมนูสำหรับสั่งอาหารล่วงหน้า : http://www.airasia.com/th/th/inflight-comforts/hot-meals.page
ข้อกำหนดและเงื่อนไขสำหรับการสั่งอาหารล่วงหน้า :
– รายการอาหารอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามช่วงเวลา
– การให้บริการขึ้นอยู่กับจำนวนสินค้าและบริการที่ยังคงมีอยู่
– ไม่สามารถสั่งอาหารล่วงหน้าได้ กรุณาสั่งอาหารล่วงหน้าก่อนกำหนดการเดินทางอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
– ผู้โดยสารจะต้องขอเปลี่ยนแปลงรายการอาหารมากกว่า 24 ชั่วโมง ก่อนเวลาออกเดินทาง โดยผู้โดยสารจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างของราคาอาหาร หากรายการอาหารใหม่ที่สั่งมีราคาแพงกว่ารายการเดิม
– สายการบินจะยึดถือ Boarding Pass เป็นหลักฐานในการรับสินค้าและบริการนั้นๆ โดยผู้โดยสารจะต้องแสดง Boarding Pass ต่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเพื่อขอรับอาหารที่สั่งจองไว้ และจะไม่อนุญาตให้ขอรับอาหารด้วยวิธีการอื่น
– แอร์เอเชียขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง หรือทดแทนรายการอาหารที่ได้สั่งจองไว้ด้วยรายการอื่นได้ โดยจะจัดสรรรายการอาหารที่มีมูลค่าทัดเทียมกันตามความเหมาะสมหมายเหตุ : อาหารในแต่ละเส้นทางการบินของแอร์เอเชียจะแตกต่างกัน ดังนั้นเวลาเลือกเมนูของ “ไทยแอร์เอเชีย” ให้เลือก “เที่ยวบิน FD”

ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง พวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง (Hong Kong International Airport, HKIA) โดยต้องปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้ตรงกับเวลาท้องถิ่นของฮ่องกงครับ กลับมาครั้งนี้ก็ยังชอบสนามบินที่นี่ กว้างใหญ่ทันสมัยและดูสะอาด ถึงแม้จะสร้างมาหลายปีตั้งแต่ 1998 แต่ก็ยังแจ่มอยู่เลย ไม่แปลกใจที่เคยได้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกถึงแปดปีซ้อน (2001-2008)
“สนามบิน Chek Lap Kok” หรือที่รู้จักกันตามชื่อสากลว่า “Hong Kong International Airport” สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1998
หลังจากที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยความเรียบร้อย สิ่งแรกที่ผมต้องการมากเป็นอันดับแรก คือ ซิมสำหรับใช้ Internet เนื่องจากมารอบที่แล้วเจอโปร Internet Roaming ของค่ายมือถือหนึ่งในราคา 280 บาท (Internet แบบ Unlimited) แล้วเจอปัญหาสัญญาณง่อยสุดๆ แต่ที่แย่มากก็คือเครือข่ายจะหลุดไปอันอื่น ส่วนมากใช้อยู่แต่ภายใน “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์” เท่านั้น ดังนั้นหากไม่ระวังให้ดีก็จะโดนคิดค่าบริการ Roaming เพิ่มเติม เวลาจะเดินทางไปต่างประเทศจึงต้องตั้งค่ามือถือ (โดยเฉพาะไอโฟน) ให้ค้นหาเครือข่ายแบบ “Manual”
สามารถหาร้านได้ไม่ยากครับ สอบถามเพื่อ Sim ซึ่งราคาไม่แพง อย่างที่ผมซื้อเป็นแบบ Internet Sim ของ “one2free” ไม่เอาโทรศัพท์เลยตกราว HK$100 (ประมาณ 400 บาท) ใช้แบบไม่อั้นได้หนึ่งอาทิตย์สัญญาณดีตลอด หรือใครสนใจแบบโทรออกได้ด้วยก็ราคาไม่ต่างกันมากครับ บางคนอาจเลือกเช่า Pocket Wifi จากเมืองไทย เสียค่าใช้จ่ายเป็นรายวัน หากมีเครื่องอยู่แล้วก็เลือกซื้อแต่ซิมได้เช่นกันครับ ในกรณีใช้ Pocket Wifi ก็จะสะดวกตรงที่สามารถแชร์ได้หลายคน แถมยังใช้มือถือโทรและรับข้อความได้ตามปกติ
สำหรับซิม หากกังวลใจว่าจะวุ่นวายหรือเสียเวลา หรือเกรงว่าจะมีปัญหาเวลาแกะเปลี่ยนซิม สามารถสั่งซื้อไปก่อนได้จากเมืองไทยเลยครับ เห็นที่เว็บ Hong Kong Fanclub ก็มีให้สั่งซื้อ เลือกได้ว่าจะเป็นซิมปกติ ไมโคร หรือนาโน ราคาไม่ต่างจากที่ผมซื้อที่ฮ่องกงครับ (พึ่งทราบหลังจากกลับมาแล้ว ถ้ารู้ล่วงหน้าคงสั่งซื้อผ่านทางนี้) เว็บนี้มีข้อมูลและทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องกง ตั้งแต่สั่งขายบัตรเข้าสวนสนุก จองห้องพัก ไปจนถึงบัตรโทรศัพท์ อารมณ์ประมาณว่า “คิดอะไรไม่ออก บอก Hong Kong Fanclub”
แจกวาร์ป : http://www.hongkongfanclub.com
จากสนามบินก็ตามป้ายบอกทางเพื่อไปต่อคิวขึ้น Taxi เดินทางไปยังที่พักครับ ซึ่งผมพักอยู่ภายใน Hong Kong Disneyland Resort เลยครับ บางคนอาจสะดวกโดยสารกับรถไฟฟ้า “MTR – Mass Transit Railway” เพื่อข้ามฟากไปเกาะฮ่องกง หรือหากของไม่เยอะมากก็สามารถนั่งไปลงที่ “Disneyland Station” ได้เช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.mtr.com.hk
จากสนามบินนั่งรถ Taxi ประมาณครึ่งชั่วโมงไปยังที่พัก คิดเงินตามมิเตอร์ตกราว 500 บาท เป็นเรทปกติไม่ต้องกลัวโดนฟันหรือไม่รับผู้โดยสารเหมือนบ้านเรา เพราะที่ฮ่องกงระหว่างเข้าคิวก่อนขึ้นรถจะมีเจ้าหน้าที่สนามบินแจกบัตรพร้อมเขียนหมายเลขทะเบียนรถ สามารถแจ้งได้กรณีเกิดปัญหาได้จริงครับ ความเห็นส่วนตัวคิดว่าหากเดินทางไปดิสนีย์แลนด์ ผมว่านั่ง Taxi สะดวกสุดครับ

“อัยยะ” ในที่สุดความฝันอีกอย่างที่รอคอยมานานนับสิบปีของผมก็เป็นจริงจนได้ครับ อยากลองค้างคืนที่ Disneyland Hotel เหมือนเด็กคนอื่นบ้าง แบบว่าตื่นเช้ามาก็เล่นได้เลย เคยเห็นในรูปในโรงแรมแล้วน่านอนสุดๆ รอบที่แล้วถึงจะได้นอน แต่ก็เป็น “Disney’s Hollywood Hotel” ซึ่งเป็นอีกอารมณ์นึงที่ค่อนข้างประทับใจ แต่ยังไม่ฟินเท่ากับที่นี่ ครั้งนี้เลยเอาลูกเป็นเหตุผล (อันที่จริงแล้วเป็นความอยากของผมเอง) หาเรื่องพาลูกมานอนครับ สุดท้ายทุกคนค่อนข้างสมหวังครับ ส่วนพ่อบ้านใจกล้างานนี้มีกระเป๋าฉีกเล็กน้อย
สำหรับ “Hong Kong Disneyland Hotel” นี้ ห้องพักจะค่อนข้างเต็มเกือบตลอด บางครั้งต้องจองกันข้ามเดือนทีเดียว ส่วนผมคงโชคดีเริ่มมาช่วงโลว์บ้างก็เลยพอหาห้องได้ครับ ราคาห้องพักจะแพงกว่า Disney’s Hollywood เล็กน้อย จุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งโรงแรม ซึ่งจะตกแต่งหรูหราสไตล์ Victorian อารมณ์ย้อนยุค ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของดิสนีย์ หลายคนจะรู้จักและเรียกว่า “โรงแรมเจ้าหญิง”

(มาถึงตรงนี้ขอเล่าย้อนนิดนึงครับ) หลังจากที่ทำการเช็คอินเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างที่พวกเราขนกระเป๋ากันมาที่ห้องพัก ก็มีพนักงานถือขนมที่มีหน้าตาเหมือนเค้กวันเกิดเดินแซงเราไปครับ แฟนผมแอบมองด้วยความอิจฉาว่าห้องไหนสั่งมาน่าทานมาก จนสุดท้ายเนี่ยก็มาหยุดที่ห้องหมายเลขที่ผมพักพอดี ซึ่งตอนแรกผมก็แอบตะหงิดแล้วล่ะครับ แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักเพราะว่าไม่คิดว่ามันจะก้อนโตและดูน่าทานอย่างนี้ เนื่องจากก่อนมานี่ผู้ใหญ่ใจดีและน่ารักแอบกระซิบมาว่าจะมี surprised วันเกิดย้อนหลังให้ลูกชายผมน่ะครับ ขนาดผมรู้ล่วงหน้ามาก่อนยังตื่นเต้นเมื่อตอนเห็นของจริงเลย ส่วนเจ้าตัวแสบนี่ไม่ต้องพูดถึง ดีใจและยิ้มจนหน้าบานเป็นกาละมังเลยทีเดียว
แต่ประเด็นคือว่ามันไม่ได้มีแต่เค้กน่ะครับ พอเปิดห้องเข้าไปก็ได้เห็นลูกโป่งพวงใหญ่ และห้องที่จัดเป็นพิเศษตั้งแต่ผ้าปูเตียงและก็การ์ดวันเกิดสุดน่ารัก มาถึงตรงนี้บอกได้เลยว่าเกินความคาดหมายมากๆ
หมายเหตุ : สำหรับแขกที่มาพักโรงแรมภายใน Hong Kong Disneyland Resort ทั้งสองแห่ง สามารถสั่งเค้กเนื่องในโอกาสพิเศษล่วงหน้าได้ที่หมายเลข +852 3510-6000
เสียดายมีเวลาชื่นชมและตื่นเต้นกับห้องนอนสุดอลังได้นิดเดียวก็ต้องรีบออกไปแล้ว เพราะว่าลูกทัวร์หิวข้าวและต้องรีบเข้าไปดิสนีย์แลนด์เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาทุกวินาทีอันแสนมีค่า โดยมื้อเที่ยงนี่เพื่อความสะดวก ผมจึงเลือกทานร้านที่ใกล้สุด “Plaza Inn” ซึ่งให้บริการอาหารจีนกวางตุ้น ตั้งอยู่บนปลายถนน Main Street, U.S.A. ตามรอยทริปก่อนซึ่งพิสูจน์แล้วว่าอร่อยจริง คราวนี้มากันแค่สามคนจึงเลือกสั่งแบบเป็นอาหารชุด แทนที่จะสั่งมาหลายๆ อย่างแล้วแชร์เอา เพราะคำนวณดูแล้วแบบนี้คุ้มค่าและได้เลือกทานหลายอย่างดีครับ ในส่วนของราคาจะแพงกว่าตามศูนย์อาหารพอสมควร แต่งานนี้ผมทุ่มทุนจัดเต็มครับ ในส่วนของราคาและรายการอาหารสามารถดูเมนูที่ตั้งอยู่หน้าร้านประกอบการตัดสินใจได้ครับ
Plaza Inn – Hosted by Maxim’s :
บรรยากาศทั่วไปในร้านก็จะตกแต่งสไตล์ร้านอาหารจีน ตรงนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นโคมไฟตรงกลางห้องสามารถเปลี่ยนสีได้ด้วย สำหรับแฟนดิสนีย์รุ่นเดอะที่ทันดู “มู่หลาน (Mulan)” อย่าลืมที่จะเดินสำรวจลวดลายบนผนังที่มีกลิ่นอายจาก Animation เรื่องนี้ หากจำไม่ผิดน่าจะฉายประมาณช่วงปี 1998
นอกจากนี้ ให้ลองสังเกตดูงานแกะสลักตามยอดเสาแต่ละต้นโดยละเอียด จะเห็น “Mushu” มังกรน้อยจอมกวนจากหนังเรื่องนี้ซ่อนอยู่อีกด้วย ถ้า Hong Kong Disneyland นี่เต็มไปด้วย “Hidden Mickeys” พรางตัวอยู่เต็มไปหมด ภายในร้าน Plaza Inn ก็จะเต็มไปด้วย “Hidden Mushus” เช่นกันครับ
ขออนุญาตนอกเรื่องอีกนิดสำหรับ “Hidden Mickey” เผื่อคนที่ไม่ทราบว่า ความจริงมันก็แปลตรงตัวเลยว่า “Mickey ที่ซ่อนอยู่” ไม่ว่าจะใน Animation ต่างๆ ซึ่งอาจหลบอยู่ตามซอกหรือมุมที่คนแทบจะมองไม่เห็น รวมไปถึงสัญลักษณ์หรือโลโก้ของ Mickey ตามจุดต่างๆ ในสวนสนุก ถ้าไม่เข้าใจก็ลองใช้คีย์เวิร์ด “Hidden Mickey” เพื่อหาดูตัวอย่างได้ครับ
สถานที่ : Main Street, U.S.A.
ประเภทอาหาร : อาหารจีน / มังสวิรัติ (Vegetarian)
บริการ : สไตล์ครอบครัว รับจองที่นั่งล่วงหน้า บริการเสิร์ฟที่โต๊ะ
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:30 pm
ราคา : $$$ / HK$200 – HK$500
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/plaza-inn
“เกือบลืมเลย” มาร้านนี้อย่าลืมลองสั่งเครื่องดื่มโซดา “Schweppes : Cream Soda” นะครับ หวานหอมอร่อยมากในราคาน้ำอัดลมทั่วไป ในดิสนีย์เหมือนผมเจอร้านนี้แห่งเดียว ตามล่าหายังไงก็ไม่เจออีกเลยตลอดสองทริปที่ผ่านมา แต่ถ้าไปเดินในฮ่องกงคงหาไม่ยากครับ ใครเจอก็อย่าลืมจัดกันคนละกระป๋องนะครับ ความจริงเครื่องดื่มครีมโซดานี่เป็นอะไรที่ผมตามหามาทั้งชีวิตเลยครับ เคยกินแทบทุกวันตอนไปญี่ปุ่นสมัยมัธยมสอง แต่อาจจะเป็นคนละยี่ห้อครับ แบบว่าผ่านมานานจำไม่ได้จริงๆ กลับมาเจออีกครั้งนี่ทำเอาน้ำตาจิไหลเลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ไปอยู่เมกาสามปีก็ไม่เคยได้ทาน (คาดว่าคงไม่มี) และก็เมืองไทยก็ไม่เห็นนำเอารสนี้เข้ามา ถือว่าเป็นอะไรที่ Mission Impossible มาก อารมณ์ดราม่าประมาณกลับมาเจอคนที่เรารักแรกพบหลังจากเวลาผ่านไปหลายสิบปี

หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ดูนาฬิกายังพอมีเวลาไปเล่นเครื่องเล่นก่อนที่พาเหรดจะเริ่ม จึงพยายามไปที่ไม่ไกลเพื่อจะได้กลับมาไม่สายเกินไป หวยออกที่ “Buzz Lightyear Astro Blasters” เครื่องเล่นแนะนำสำหรับทุกเพศทุกวัย เด็กจะสนุกมากเพราะว่าจะมีปืนให้ยิงเก็บแต้มสู้กับฝ่าย “Emperor Zurg” จากหนังดัง “Toy Story 2” เป็นเครื่องเล่นโปรดที่ลูกผมขอเล่นทุกวัน รวมตลอดทริปแล้วน่าจะเกินสิบรอบครับ
Buzz Lightyear Astro Blasters :
สถานที่ : Tomorrowland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : มืด เคลื่อนที่ช้า หมุน
เปิดทำการวันสุดท้าย : 31 สิงหาคม 2017






ตามธรรมเนียมเมื่อเสร็จจากเล่นเครื่องเล่นก็จะมีร้านขายของที่ระลึกคอยดักแมงเม่าครับ อันนี้ออกมาจะโผล่ที่ “Star Command Suppliers” แขกที่อินกับเครื่องเล่นก็มีอันต้องแวะและเสียเงินไม่น้อย #ความรักก็เช่นกัน ซึ่งไม่เว้นกระทั่งคณะของผม บางอันที่มีถ่ายรูประหว่างนั่งบนเครื่องเล่นจังหวะที่ทำหน้าเสียวๆ ก็จะมีภาพที่ระลึกในราคาไม่เบาให้กลับไปเช่นกัน ตอนหลังผมไม่ค่อยได้ซื้อล่ะครับ แบบว่าหน้าไม่ค่อยพร้อมเหมือนสมัยตอนเป็นวัยรุ่น ที่จะเก็บแทบทุกด่านที่เล่นเลยทีเดียว
Star Command Suppliers :
สถานที่ : Tomorrowland
เปิดทำการวันสุดท้าย : 31 สิงหาคม 2017

ระหว่างที่กำลังจะออกไปชมพาเหรดก็มีเรื่องให้ “ว๊าว” กันอีกรอบ บริเวณด้านข้างศูนย์อาหาร “Starliner Diner” เห็นตัวเขียวๆ กำลังเดินมาถึงพอดี ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “Buzz Lightyear” ตัวละครเอกจาก Toy Story ทั้งสามภาค ก่อนมาเที่ยวนี่ไล่หาแผ่น Animation ในยุคหลังๆ มาทะยอยเปิดให้ลูกดูจนเกือบครบ จะได้อินไปด้วยเวลามาเที่ยวครับ พอได้เจอตัวจริงนี่เจ้าตัวแสบถึงกับตื่นเต้นปนเขินเวลาได้ถ่ายรูปกับตัวเป็นๆ นอกจอ แถวไม่ยาวมากครับ รอประมาณไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ถ่ายรูปคู่ด้วย “ปิ้วๆ”
หมายเหตุ : เวลาเราเดินไปในบริเวณสวนสนุก จะพบเห็นตากล้อง “Official” ของดิสนีย์เดินไปทั่ว โดยเฉพาะเวลามี Disney’s Character ที่ตากล้องจะคลอยประกบตลอดเวลา พอถ่ายเสร็จครั้งแรกจะได้รับบัตร Photo Pass มาเพื่อที่ไปตรวจดูและสั่งซื้อได้บริเวณทางออก ในครั้งต่อไปก็สแกนบัตรเพื่อที่จะได้เก็บข้อมูลภาพถ่ายไว้ใน Folder เดียวกันง่ายต่อการค้นหาครับ


บริเวณด้านหน้าของศูนย์อาหาร Starliner Diner จะมีตู้โชว์ประเภทและตัวอย่างอาหารไว้ครับ ซึ่งทุกร้านจะมีโชว์เหมือนกันหมด เพื่อให้คนเห็นว่าขายอะไรหน้าตาประมาณไหน ผมมาสะดุดที่ “Mickey Lunch Box” นี่ล่ะครับ เห็นแล้วรักเลย สามารถซื้ออาหารและใส่กล่องนี้ออกมาทานได้เลย เสร็จก็เอากลับบ้าน แต่ว่าต้องจ่ายเพิ่ม HK$68
Starliner Diner :
สถานที่ : Tomorrowland
ประเภทอาหาร : อาหารตะวันตก (Western Cuisine)
บริการ : อาหารจานด่วน – ศูนย์อาหาร
ราคา : $$ / HK$100 – HK$200
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/starliner-diner

แล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่รอคอยกับ “Fiights of Fantasy Parade” ขบวนพาเหรดกลางวันที่เป็นอีกหนึ่งรายการห้ามพลาดครับ ถ้าต้องการมุมเด็ดแนะนำว่าต้องเห็นจากด้านหน้า แล้วก็ให้รอตรงจุดที่พาเหรดขบวนแรกจอดอยู่นั่นเอง โดยการโชว์แต่ละรอบ ขบวนจะหยุดจอดเพียง 3 ครั้ง ซึ่งจุดที่ขบวนจอดเป็นจุดที่ชมและถ่ายรูปได้สวยที่สุด (แนะนำให้ตรวจสอบดูแผนที่ในลิงค์ด้านล่างครับ) สำหรับคนที่เคยชมพาเหรดจากดิสนีย์ที่อื่นแล้วก็ไม่ต้องเกรงว่าจะซ้ำ เพราะที่นี่มีเพียงแห่งเดียวในโลกไม่เหมือนใครแน่นอน ขนาดเพลงบางช่วงยังมีภาษาจีนเลยครับ
Flights of Fantasy Parade :
สถานที่ : Main Street, U.S.A.
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ตารางเวลา : 15.30 น.
เวลาการแสดง : ประมาณ 35 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/flights-of-fantasy-parade


สำหรับผมเที่ยวนี้ขัดข้องบางประการ เนื่องจากมารอชมขบวนตอนพาเหรดใกล้เริ่ม จึงไม่ได้จุดยืนที่ชัดเจนสักเท่าไหร่ ที่ดีหรือมีร่มก็เต็มหมด แต่ถ้าไม่สามารถจองที่นั่งได้ทันก็ไม่ต้องซีเรียสครับ ขบวนผ่านแบบใกล้ชิดมากอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าอยากได้รูปสวยๆ ก็ตามที่ผมบอกไว้ข้างต้นเลย รอบนี้จึงเก็บได้เพียงมุมด้านข้าง ใช้เลนส์ไวด์ถ่าย ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศจากครั้งก่อนที่มาพร้อมกับทริปสื่อ ได้มุมดีมากในจุดที่เขากั้นเชือกเตรียมไว้ให้บริเวณหัวถนน Main Street, U.S.A. ซึ่งคราวนั้นผมใช้เลนส์เทเลส่องเอาได้มุมอีกแบบที่ไม่เหมือนกันเลย (ลองตามไปดูเปรียบเทียบได้ครับ)
ย้อนรอยบรรยากาศพาเหรด (ทริปแรก) :
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “Hong Kong Disneyland” — วันที่ 1 : มหัศจรรย์สีสันแห่งพาเหรด แจกวาร์ป : https://oatenroute.com/2014/12/12/0101001


หากเป็นไปได้ ผมแนะนำให้ไปยืนรอตามที่แผนที่ในลิงค์ข้างบนบอกไว้ (อันใดก็ได้จากหนึ่งในสามจุดที่ระบุในแผนที) — จากประสบการณ์ตรงคิดว่าตรงหัวถนน Main Stree, U.S.A. ตอนเดินเข้ามาเจ๋งสุด และก็รองมาน่าจะเป็นหน้าปราสาทเทพนิยายที่วงเวียน ส่วนอีกจุดที่เหลือนี่ผมดูแล้วเฉยๆ แต่หากว่าเลือกไม่ได้หรือจองไม่ทัน บริเวณตามข้างทางที่รถผ่านบนถนนสายหลักก็ไม่ได้ขี้เหร่มากครับ — ความเห็นส่วนตัวคิดว่าไฮไลท์ของพาเหรดจะอยู่บริเวณหัวขบวน ซึ่งจะเห็นขบวนของ Mickey & Friends อยู่ต่อจากขบวนนำ ทำให้เห็นได้ชัดเจนและนานมาก เวลาเต้นก็สนุกและอินกว่า อย่างคราวที่แล้วนี่ถ่ายรูปไปก็เขย่าขาไปด้วย (ไม่ได้อยากเตะใครนะครับ) เพราะเพลินไปกับโชว์จริงๆ รอบนี้เวลาขบวนจอดอยู่กับที่ บริเวณที่ผมนั่งจะเป็นรอยต่อของขบวน “หมีพูห์ (Winnie-the-Pooh)” กับ “เมาคลี (The Jungle Book)” ซึ่งไม่ค่อยฟินถึงจุดสุดยอดนักตามความเห็นส่วนตัว โดยเฉพาะเปรียบเทียบกับคราวก่อนที่เห็น Mickey แบบใกล้ชิดอยู่กับทีประมาณสิบนาทีได้เลย (พูดแล้วน้ำตาจิไหล) ครั้งนี้ถึงแม้ขบวนจะไม่เคลื่อนที่เร็วนัก แต่ตอนผ่านไปมันก็ใช้เวลานิดเดียวไม่ทันสัมผัสกับชุดพระเอกสักเท่าไหร่ครับ



ในส่วนลูกผม (ผิดคาดเล็กน้อย) ไม่ค่อยตื่นเต้นกับพาเหรดเท่ากับที่ผมเห็นครั้งแรก อาจมีหลายปัจจัย เช่น ขบวนพาเหรด Mickey ที่ลูกรู้จักจะผ่านไปเร็วมาก ส่วนเมาคลีนี่แทบไม่รู้จัก ผมนี่ถ้าไม่เคยเรียนมาจากนิทานของวิชาลูกเสือสมัยเด็ก ก็คงนึกภาพไม่ออกเหมือนกัน รวมไปถึงอันอื่นๆ ที่จะสนิทและชอบแต่ Toy Story เรื่องเดียว ส่วนนิยายเจ้าหญิงเป็น Animation รุ่นเก่า ประกอบกับเป็นเด็กผู้ชายผมเลยไม่ได้หามาให้ดูครับ แต่พวกสาวน้อยไม่น่าจะผิดหวังเพราะคงรู้จักกันดี ขนาดผมพยายามทำการบ้านให้ลูกก่อนมา ก็ยังไม่สามารถเก็บตัวละครหรือทำความรู้จักได้ครบ คิดว่าถ้าได้ชมพาเหรดกลางคืน ซึ่งเป็นตัวละครอีกชุด รวมถึง Animation จาก “Pixar” ดูท่าทางน่าจะฟินกว่า เนื่องจากผ่านตามาหมดแทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Cars หรือ Monster University ที่ลูกดูอยู่หลายรอบ รวมไปถึง Toy Story กับ Mickey & Friends ที่รู้จักเป็นอย่างดีเช่นกัน นอกจากนี้ขบวนไฟกลางคืนก็สีสันงดงามอลังเกินบรรยายด้วย เสียดายตรงที่ช่วงที่ผมไปหยุดปรับปรุงเลยไม่มีโชว์พอดีครับ #ร้องโฮกหนักมาก

เสร็จจากพาเหรดที่ค่อนข้างร้อน อันนี้ยังดีที่ผมยอมข้ามมายืนอีกฟากที่อยู่ในร่มมีเงาตึกบังแล้วครับ ตอนแรกผมได้ที่นั่งริมถนนอีกฟาก แต่ย้ายมาเพราะแดดส่องมาตรงๆ สรุปว่าตัดสินใจยอมยืนแต่อยู่ในร่มดีกว่าตากแดดครึ่งชั่วโมงครับ คราวนี้ก็มาต่อกันฟรีสไตล์แล้ว ผมเลือกพาทุกคนไปเข้าร่มดมแอร์เย็นๆ ในคฤหาสน์ลึกลับกันดีกว่าครับ ซึ่งพวกเราจะเดินกันไปยังโซน “Mystic Point” ซึ่งพึ่งจะเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2013 เท่านั้นเอง

ไฮไลท์สำคัญของโซน “Mystic Point” จะอยู่ที่เครื่องเล่น “Mystic Manner”


เป็นเครื่องเล่นอีกอันที่ลูกชอบ แต่ไม่ได้ถึงขั้นสุดขีดจนต้องมาขอซ้ำอีก อันนี้อารมณ์จะค่อนข้างคล้ายกับ “บ้านผีสิง (Haunted Mansion)” ของดิสนีย์อื่นๆ คือ นั่งรถเข้าไปแล้วก็มีใช้เทคนิคสร้างภาพลวงตาให้สิ่งของมีชีวิตเหมือนกัน ซึ่งอันนี้ค่อนข้างทันสมัยกว่าเพราะสร้างและเปิดทีหลัง แต่ส่วนตัวผมจะชอบความคลาสสิคของบ้านผีสิงเดิมมากกว่า ยังไงก็ตาม อันนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องเล่นที่ต้องมาลองสักครั้งเมื่อมาเยือนครับ
Mystic Manner :
สถานที่ : Mystic Point
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : มืด เสียงดัง เคลื่อนที่ช้า หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/mystic-manor

คิวต่อไปเป็นโซนที่ลูกชายผมตั้งหน้าตั้งตารอคอย นั่นก็คือ “Toy Story Land” อีกหนึ่ง Animation เรื่องโปรดที่ผมขุดมาให้ดูแบบสามภาคจนติดใจ ดูวนไปมาอยู่หลายรอบมาก เพื่อเตรียมความพร้อมให้อินเมื่อมาเยือนดิสนีย์แลนด์ คราวนี้ก็บอกลูกว่าได้เวลาย่อส่วนแล้วเดินตะลุยดินแดนของเล่นด้วยกันแล้วครับ

ในส่วนเครื่องเล่นต่างๆ ค่อนข้างน่าสนใจทุกอันเลยครับ แต่ว่าส่วนมากจะค่อนข้างเสียวเกินวัยลูกชายผมสักเล็กน้อย จึงมาประเดิมกันที่เครื่องเล่นเบาๆ เน้นชิวกันดีกว่า เป็นอีกหนึ่งอันที่คิวรอไม่ถึงกับยาวแต่ใช้เวลารอพอสมควร เพราะว่าเครื่องเล่นแต่ละรอบที่นั่งไม่มาก และผู้ปกครองนิยมพาลูกมาเล่นกัน ในขณะที่อันอื่นอาจเกินวัยไปบ้าง จึงเลือกเล่น “Slinky Dog Spin” เจ้าหมาสปริงจาก “Toy Story” เวลาต่อคิวก็จะมีเจ้าหน้าที่มาแจก “Boarding Pass” เป็นรูปกระดูก ซึ่งเรียกได้น่ารักทีเดียวว่า “Barking Pass” ซึ่งเวลาแจกป้ายกระดูกในแต่ละทีจะทำให้รู้ว่ารอบนี้ถึงคิวไหนแล้ว

โดยเครื่องเล่นนี้น้องหมาจะวิ่งไล่หางเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ในแต่ละรอบ เราจะนั่งกันอยู่ใต้สปริง เวลาเล่นจะมีลูกเล่นหล่นวูบเป็นลูกคลื่นบ้างแต่ไม่ถึงกับโหด เหมือนเวลารถวิ่งแล้วเจอถนนที่ยุบตัวลงไปแล้วมีเสียวท้องเล็กๆ เด็กจะค่อนข้างชอบเพราะไม่เร็วจนเกินไป ตอนแรกผมก็กลัวว่าจะเวียนหัวเหมือนกันเพราะวิ่งเป็นวงกลม แต่พอนั่งแล้วก็เพลินกำลังดีครับ
Slinky Dog Spin :
สถานที่ : Toy Story Land
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : หล่นวูบเบาๆ หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/slinky-dog-spin

เมื่อเสร็จจากเล่นน้องหมาก็ย้ายฐานก่อนครับ ดูจากเครื่องเล่นอย่างอื่นแล้วลูกชายคงไม่ยอมเล่นแน่นอน ผมจึงเปิดแผนที่แล้วเดินย้อนข้ามกลับมาที่ Adventureland เพื่อไปล่องเรือผจญภัยในป่าลึกกับ “Jungle River Cruise” เครื่องเล่นยุคแรกๆ อีกอย่างที่ต้องมีทุกดิสนีย์แลนด์เลย เรือแต่ละลำจะล่องไปในป่าตามแม่น้ำ และระหว่างทางก็จะเจอเรื่องตื่นเต้นและสัตว์ต่างๆ มากมาย จำได้ว่าสมัยเล่นครั้งแรกที่ Tokyo Disneyland นี่มันเป็นอะไรที่อลังมาก ไม่เคยคิดว่ามันจะสมจริงได้เพียงนี้ แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่เคยเล่นแล้วก็อาจธรรมดาไปนิดเวลากลับมาเล่นอีกรอบ

เวลาต่อคิวจะมีช่องทางให้เลือกว่าเสียงในฟิล์มภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยก็คงต่อแถวที่ฟังภาษาอังกฤษอยู่แล้ว พอขึ้นเรือก็จะพบกับไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ ขอให้คะแนนเต็มกับไกด์ท่านนี้เลย อารมณ์ประมาณจ้างสิบแต่เล่นเหมือนรับเงินล้าน ถือว่าสมบทบาทเกินค่าตัวมากครับ อินเนอร์มาเต็มช่วยทำให้บรรยากาศบนเรือสนุกขึ้น ส่วนเด็กเล็กจะค่อนข้างตื่นเต้นและกลัวเล็กน้อย เพราะทั้งสัตว์และสิ่งต่างๆ ที่รออยู่นี่ทำได้สมจริงทีเดียว
Jungle River Cruise :
สถานที่ : Adventureland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เสียงดัง น่ากลัว เคลื่อนที่ช้า เล่นบนน้ำ
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/jungle-river-cruise

อย่างที่ทราบครับว่าทริปนี้ผมจัดเพื่อลูก ดังนั้นเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปทางอนุบาลหมีน้อยตามใจวัยเด็ก แต่อันถัดมา “Orbitron” ในโซน Tomorrowland จะพบกันครึ่งทางครับ เสียวเบาๆ เพราะขึ้นไปสูง แต่ก็ไม่ได้เร็วจนโหดร้าย ตอนแรกนี่ผมบอกตรงเลยว่า ไม่แน่ใจว่าลูกจะกลัวความสูงไหม แต่ก็วัดดวงจะได้ลองเล่นหลายอย่างครับ เครื่องเล่นนี้จะเป็นจานบินให้เราขึ้นไปบังคับ พร้อมชมวิวอยู่เหนือ Tomorrowland ท่ามกลางดาราจักรที่ส่องแสงประกายแวววาว
ป.ล. แอบเห็น “Space Mountain” อยู่ด้านหลัง แต่งานนี้ไม่มีใครยอมเล่นด้วยครับ

เป็นครั้งแรกของพวกเราทุกคนที่ได้เล่นเครื่องเล่นนี้ ปกติผมจะมีเวลาเที่ยวดิสนีย์แค่วันเดียวก็เลยเน้นที่เสียวๆ มารอบนี้ถึงได้ลอง สรุปว่าคนที่สนุกสุดก็ตัวแสบล่ะครับ หน้าตาและยิ้มเหงือกบานบ่งบอกทุกอย่างได้ดี สนุกตรงที่ยานแต่ละลำที่ขึ้นไปนั่งสามารถบังคับขึ้นลงได้ตามใจชอบครับ อันนี้กำลังมันส์กับการบังคับขึ้นลงให้คนที่นั่งด้วยเวียนหัว ท่าทางคงมีความสุขที่ได้แกล้งชาวบ้านครับ เห็นหัวเราะร่วนตลอดเวลา เสียดายที่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะปิดซ่อมบำรุงประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็เลยได้เล่นแค่วันเดียว
Orbitron :
สถานที่ : Tomorrowland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เคลื่อนที่ช้า หล่นวูบเบาๆ หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/orbitron
เสร็จจากจานบินก็กลับมาสู่อนุบาลหมีน้อยอีกรอบ ถึงคิวของ “The Many Adventures of Winnie the Pooh” อีกหนึ่งสุดยอดในตำนานตัวการ์ตูนดังของค่ายดิสนีย์ ซึ่งบอกตามตรงครับ ถ้ามาคนเดียวคงเป็นเครื่องเล่นลำดับท้ายๆ ที่ผมจะขึ้นครับ งานนี้บอกแล้วเพื่อลูก ยอมคิกขุนิ้งหน่องกับเครื่องเล่น “น้องหมีปุ๊กลุ๊ก (Winnie-the-Pooh)” เป็นอีกเครื่องเล่นยอดนิยมที่ไม่ได้มีแต่เด็กน้อยครับ พอได้เข้าไปเล่นจึงได้ทราบเหตุผลว่าทำไมคนถึงต่อคิวกันเรื่อยๆ ทั้งนี้ผมว่าเป็นอีกหนึ่งอย่างที่หากใครมีลูกหลานก็ต้องพาไปเล่นเด็ดขาดครับ ขนาดผมยังสนุกและก็เพลินไปด้วยเลย ทั้งที่ปกติไม่ใช่แฟน Animation หมีพูห์แม้แต่น้อย
แต่ในส่วนเครื่องเล่น เราจะผจญภัยใน “ป่าร้อยเอเคอร์ (Hundred Acre Wood)” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดและเรื่องราวของหมีพูห์นั่นเอง โดยพวกเราจะนั่งไปในโถน้ำผึ้งขนาดยักษ์ ซึ่งนั่งได้คราวละหกคน โลดแล่นเข้าไปในหนังสือเทพนิยาย หากใครเคยอ่านหรือดูมาก่อนคงพอเข้าใจ แต่ผมนี่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ก็ขอสรุปคร่าวๆ ประมาณนี้ (ผิดถูกประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้นะครัช) ระหว่างทางก็เหมือนเปิดอ่านนิทานหมีพูห์ไปทีละบท มีภาพเล่าเรื่องเป็นสองและสามมิติสลับกันไป พร้อมกับมีเสียงประกอบ และเปิดเพลงน่ารักไประหว่างที่โถน้ำผึ้งที่เรานั่งแล่นผ่านไป
The Many Adventures of Winnie the Pooh :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : มืด เคลื่อนที่ช้า หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/many-adventures-of-winnie-the-pooh
เวลาผ่านไปเร็วมากครับ เผลอนิดเดียวแทบจะหมดวันแล้ว ตอนนี้ทุกคนพลังเริ่มหมด เจ้าตัวแสบเริ่มหงอยๆ ก็ไม่แปลกนะครับ ตื่นตั้งแต่ตีสามและออกบ้านกันแต่เช้าตรู่ มานี่ทั้งวันยังแทบไม่ได้พักกันเลย ถึงตรงนี้ชักมึนเหมือนกันว่าจะเล่นอะไรต่อดี จึงเปิดดูแผ่นพับที่แจกฟรี แล้วก็ลองเลือก “Mickey’s PhilharMagic” ที่ดูน่าสนใจ เพราะเห็นว่าเป็น 3D แต่ในแผ่นพับก็ไม่ได้บอกอะไรมาก นอกจากว่าเป็น Animation ของดิสนีย์ในรูปแบบ 3 มิติ อ่านจากชื่อคงเกี่ยวกับวงดนตรีประสานเสียง และน่าจะเกี่ยวอะไรกับเวทมนตร์สักอย่าง ซึ่งก่อนเข้าไปไม่ได้ทำการบ้านล่วงหน้า จึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

ช่วงที่ไปจะพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปบ้างแล้วครับ เห็นว่าเครื่องเล่นนี้ว่างพอดีก็เลยเข้าไปรอ ตอนเข้าไปทุกคนต่างไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับเครื่องเล่นนี้กันมาก หลังจากเดินเข้าไปก็รอนานอยู่เหมือนกัน คาดว่าถ้าช่วงที่คนมาเที่ยวเยอะๆ คงได้รอจนรากงอกกว่านี้แน่นอน

พอได้เวลาทุกคนก็กรูกันเข้าไปเลือกที่นั่ง ก็คล้ายกับเรานั่งดูหนังในโรงหนังสามมิติ (ทุกคนได้รับแว่นคนละอัน) หลังจากคนเข้ามาเต็มพื้นที่ก็เริ่มหรี่ไฟ โดยมีเจ้าเป็ดจอมกวน “Donald Duck” เข้ามาขโมยซีน และก็เริ่มป่วนโดยการเอาหมวกเวทมนตร์ของ Mickey มาใช้ แล้วเกิดความผิดพลาดจนหลุดไปในเรื่องราว Animation ของดิสนีย์ที่โด่งดัง ไล่มาตั้งแต่ “The Little Mermaid” เรื่อยไปจนถึง “Aladdin” เป็นต้น ตามหาหมวกที่หลุดไปในโลกแห่งเวทมนตร์ เพื่อกลับมาสู่โลกปกติให้ได้ครับ โดยหลักเนื้อเรื่องก็จะคัดมาจากการ์ตูนที่มีเพลงประกอบเพราะๆ และติดหูครับ แล้วก็วาร์ปข้ามไปมา ทั้งเรื่องเป็น 3D และมี Special Effects มากมายตลอดการผจญภัย ว่าไปแล้วโดยรวมก็เหมือนดูหนังระบบ 4DX มีทั้งรูปรส กลิ่น เสียง ละอองน้ำ พ่นลม โดยเฉพาะกลิ่นที่สมจริงมาก ไม่เหมือนของ 4DX ที่เคยเจอกลิ่นไหม้อย่างเดียว พร้อมระบบสามมิติ ต่างกันตรงที่เบาะขยับไม่ได้เท่านั้นเอง
บทสรุปภายหลังจากเล่นเครื่องนี้ บอกได้คำเดียวว่า “สิบดาว” เกินความคาดหวังในตอนแรก รับรองว่าสนุกถูกใจทุกวัยต้องแวะให้ได้ครับ ขอแนะนำให้เลือกที่นั่งแถวกลางจะสัมผัสได้ถึงระบบสามมิติเต็มที่ วันนี้ผมนั่งริมด้านขวาไปนิดก็เลยรู้สึกว่ามันไม่เป๊ะ แบบว่าโอเคสนุกแต่ยังไม่ถึงกับปัง ติดใจกลับมาเล่นอีกทีวันสุดท้ายแล้วเลือกที่นั่งตรงกลาง รู้สึกเลยว่าแตกต่างอย่างชัดเจน เหมือนของมาลอยอยู่ใกล้หน้าเราจนแทบคว้าได้ ผมว่าค่อนข้าง 3D ลอยออกมาชัดเจนมากกว่าในหนังที่เราดูตามโรง IMAX เสียอีกครับ อารมณ์มาเต็มเหมือนมือแทบจะเอื้อมถึง
Mickey’s PhilharMagic :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : มืด
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/mickeys-philharmagic
ตอนนี้ทุกคนเริ่มหมดแรงติ่มซำมื้อเที่ยงกันแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินกลับ เผอิญว่าเห็นคิวของ “Cinderella Carousel” กำลังว่าง ก็เลยแวะพาลูกไปลองเล่นม้าหมุนกันอีกสักอย่างดีกว่า เห็นบ่นอยากนั่งตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วครับ สำหรับเจ้าม้าหมุนนี่ก็มีหลายขนาดทั้งตัวเล็กและใหญ่ รวมถึงราชรถที่เป็นที่นั่งแบบสบายๆ งานนี้ผมจะไปเล่นกับลูกครับ ตอนแรกว่าจะแยกนั่งคนละตัว แต่ดูแล้วมีม้าใหญ่ที่สามารถขี่พร้อมกันได้ก็เลยลองขึ้นไปเบียดดู พอนั่งแล้วก็จะมีเข็มขัดให้คาดเพื่อความปลอดภัยด้วย แอบเสียวม้าหักพังลงมาเหมือนกัน เพราะช่วงนี้ผมค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากกินไม่หยุดเลย จัดว่าเป็นช่วง “career-high” จ้ำม่ำสุดตั้งแต่เกิดมาครับ กลับเมืองไทยคราวนี้คงต้อง T25 ลดน้ำหนักกันยกใหญ่
สำหรับเครื่องเล่นนี้คงต้องให้เด็กเล่น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงน่าจะชอบครับ ส่วนผู้ใหญ่คงไม่เน้นมันส์ แต่เหมือนไฟท์บังคับต้องเข้าไปขี่ม้าเป็นเพื่อนบุตรหลาน ส่วนตัวผมนี่ตั้งแต่จำความได้ คิดว่าครั้งหลังสุดที่เคยเล่นน่าจะเป็นตอนอยู่อนุบาลแล้วไปเล่นตามงานฤดูหนาว (อารมณ์ประมาณงานวัดล่ะครับ) กันเลยทีเดียว
Cinderella Carousel :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เคลื่อนที่ช้า หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/cinderella-carousel
จบจากนี้แล้วก็เดินออกจริงๆ ล่ะครับ ร้านขายของที่ระลึกยังไม่ค่อยมีแรงเดินแล้ว ส่วนลูกชายก็บ่นงอแงตลอดทาง ผมก็จนปัญญาจะอุ้มล่ะครับ เพราะลำพังกระเป๋ากล้องก็เกือบ 10 โล เลยคิดว่าเดินเยอะแบบนี้สงสัยพรุ่งนี้คงไม่รอด ก็เลยให้กำลังใจว่าพรุ่งนี้จะเช่ารถเข็นให้ครับ ตรงนี้สำหรับใครที่มีเด็กเล็ก (ถึงแม้เดินหรือวิ่งคล่องแล้วก็ตาม) แนะนำเลยว่าควรมีรถเข็นติดมาจากเมืองไทยหากเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นพอเด็กหมดแรงแล้วได้อุ้มกันเมื่อยหลังแน่นอนครับ ขนาดลูกผมซึ่งกำลังจะขึ้นประถมหนึ่งยังไม่ค่อยไหวเลย วันนี้ยังหลอกล่อให้เดินได้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีรถเข็นสงสัยงานกร่อยแน่นอนครับ
หากใครเคยไป Hong Kong Disneyland คงนึกออกว่าสภาพหลังหมดวันจะเป็นยังไง ผมมาทุกครั้งก็จะเดินขาลากออกไปตลอด จากปากประตูทางเข้าสวนสนุกไปยังป้ายรอรถกลับโรงแรมนี่ยังแทบไม่อยากเดินเลย เนื่องจากระยะทางมันไกลมหาโหดมาก ผมเดาว่าเขาเผื่อไว้ในอนาคตทำเป็นพวก Complex มีร้านขายของหรือร้านอาหารเพิ่มเติมเหมือนอย่าง Downtown Disney District ครบวงจรเหมือนที่เมกา
แจกวาร์ป : http://disneyland.disney.go.com/destinations/downtown-disney-district





มาถึงโรงแรมได้เวลาบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นที่รอคอยครับ คืนนี้จะพาไปทานที่ห้องอาหาร “Chef Mickey” อันนี้ผมติดใจจากทริปสื่อปลายปีก่อน จึงจ่ายเพิ่มเติมสำหรับมื้อเย็นวันนี้ โดยสามารถจองและซื้อ Voucher ได้ที่เคาท์เตอร์เช็คอินของโรงแรมได้เลย (เมื่อเป็นแขกที่พักในรีสอร์ทได้ลดอีกครับ) เพราะที่ซื้อจองมาจากเมืองไทยตอนแรกมีเพียงห้องพักพร้อมอาหารเช้าเท่านั้น โดยผมจะพาข้ามไปที่ “Disney’s Hollywood Hotel” เนื่องจากเคยทานแล้วอลังและอร่อยสุดๆ เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องกลับมาทาน “Hong Kong Disneyland Hotel” ที่พวกเราพักซึ่งมีราคาแพงกว่าพอควร ลองดูแล้วอาหารก็ไม่น่าต่างกันมากเท่าไหร่ครับ
บุฟเฟ่ต์นานาชาติที่ “Disney’s Hollywood Hotel” :
บุฟเฟ่ต์นานาชาติที่ “Hong Kong Disneyland Hotel” :
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยและหิวโหยมาทั้งวัน ในที่สุดก็ถึงเวลาหม่ำแหลกกันเสียทีครับ แต่มาถึงก่อนเวลาไปนิดจึงต้องนั่งรอทางห้องอาหารเตรียมตัวกันสักเล็กน้อย โดยปกติห้องอาหารจะเปิดมื้อเย็นตอน 05:30 p.m. – 10:00 p.m. โดยแบ่งเป็นรอบ รอบละ 90 นาที ผมจองไว้รอบที่สองจึงต้องรอเวลาเปิดให้เข้าตอน 07:00 p.m.
ราคาบุฟเฟ่ต์ก็จัดว่าไม่ถูกไม่แพงครับ ราคาถือว่าไม่ต่างกับโรงแรมหรูบ้านเรานัก บางทีจะถูกกว่าเสียด้วยซ้ำไปครับ อาหารก็เป็นสไตล์นานาชาติ มีตั้งแต่ ซุ้มอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารตะวันตก ของหวานและไอติม ซึ่งไฮไลท์หลักก็คงจะเป็น ก้ามปลูอลาสก้าที่เสิร์ฟมาบนน้ำแข็ง และปลาดิบซึ่งสดและเนื้อหนามาก แบบว่าทานแล้วฟินมากครับ ปกติแฟนผมไม่ค่อยชอบทานบุฟเฟ่ต์ แต่รอบนี้เห็นเดินไม่หยุด หมดจานแล้วกลับไปตักตลอดครับ ส่วนลูกชายก็เพลินมาก โดยเฉพาะตอนไปกดไอติมมาทานกินเอง
ทานเสร็จอิ่มมากจนแทบจะคลานออกจากห้องอาหารเลยครับ เหนื่อยก็เหนื่อยเพราะตื่นเช้าและเดินมาทั้งวัน แต่พวกเรายังต้องนั่งรถกลับไปโรงแรมเราอีกทีครับ ซึ่งรถฟรีก็จะมีให้บริการตลอดจนถึงตีหนึ่ง แล้วจึงกลับมาให้บริการอีกทีตอนหกโมงเช้าครับ

มาต่อเช้าวันที่สองเลยดีกว่าครับ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมตั้งใจ surprised ทุกคน นั่นก็คือ การได้พบ Mickey & Friends แบบตัวเป็นๆ รวมถึงได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดครับ ซึ่งเชื่อว่าเป็นความฝันของเด็กทุกคน รวมถึงผู้ใหญ่อย่างผมที่เคยผ่านวัยเด็กมานานแล้ว ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเจอเสียที ถึงแม้ว่าฝันของผมจะเป็นจริงช้าไปหน่อยก็ตาม

ทุกอย่างนี้จะรวมอยู่ในรายการ Buffet อาหารเช้าที่ “Hong Kong Disneyland Hotel” เท่านั้นครับ โดยระหว่างทานอาหารก็จะมี Mickey พร้อมเหล่าผองเพื่อนทะยอยกันมาแวะตามโต๊ะที่เรานั่ง หรือบางทีหากระหว่างเดินไปมาในห้องอาหารแล้วเห็นว่าใครว่างก็สามารถไปขอคุยและถ่ายรูปด้วยได้เช่นกัน แต่ตามปกติแล้วจะคิวชุกและต้องแวะตามโต๊ะอยู่แล้ว ขอแนะนำว่าไปเร็วหน่อยเพื่อที่จะได้เหลือที่นั่งที่ไม่ได้อยู่มุมอับจนเกินไป วันแรกที่ผมทานนี่ไม่ทันนึกก็เลยได้นั่งริม แล้วพวกตัวละครจะเดินมาไม่บ่อย ในขณะที่หากได้นั่งบริเวณกลางห้อง ซึ่งวันที่สองผมจะลองถามดูแล้วก็ขอเลือกเอง (กรณีมีที่ว่างก็มักจะได้ครับ) ตัวละครจะผ่านมาหลายรอบทำให้มีโอกาสแก้มือได้บ่อยครั้ง หากแขกไม่เยอะและคิวไม่แน่นจนเกินไปก็มักจะเดินเข้ามาเล่นกับเราอีก


กลับมาดูเรื่องอาหารกันพอเป็นพิธีครับ ซึ่งอันที่จริงแล้วผมไม่ค่อยได้โฟกัสตรงนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากพอถึงเวลาแล้วจะมัวแต่สนใจกับพวก Mickey เสียมากกว่าจนแทบลืมทานข้าวกันไปเลย
Enchanted Garden Restaurant : ห้องอาหารนี้จะเน้นให้บริการอาหารบุฟเฟ่ต์ โดยตกแต่งสไตล์ Victorian บรรยากาศเหมือนอยู่ในสวน และพบกับสุดยอดขวัญใจตัวละครดิสนีย์มากมาย
อาหารเช้า : ให้บริการอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ได้แก่ ขนมปังต่างๆ โจ๊ก ติ่มซำ ซุ้มไข่ พร้อมไส้กรอก แฮมและเบค่อนโดยจุดเด่นอยู่ที่ waffel & pancake ที่ทำเป็นรูป Mickey Mouse
อาหารกลางวัน : จะเพิ่มเติมอาหารจากทั่วโลกที่หลากหลายมากขึ้นจากตอนเช้า ได้แก่ ติ่มซำ ของทอด แกงอินเดีย พาสต้า เนื้อต่างๆ (เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อแกะ) ที่ขาดไม่ได้เป็นซุ้มอาหารญี่ปุ่น มาพร้อมกับปลาดิบ ข้าวปั้น และเทมปูระ
อาหารเย็น : ค่อนข้างจะคล้ายมื้อกลางวัน แต่จะเพิ่มก้ามปูอลาสก้า และของหวานที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึง Chocolate Foutains เป็นช็อกโกแล็ตขาวและช็อกโกแล็ตนมอย่างละอันหมายเหตุ : ในส่วนของบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันจะให้บริการเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เท่านั้น
สถานที่ : Hong Kong Disneyland Hotel
ประเภทอาหาร : นานาชาติ
บริการ : บุฟเฟ่ต์
เวลาเปิดให้บริการ : 07:30 am – 11:00 am / 05:30 pm – 10:00 pm
ราคา : $$$ / HK$200 – HK$500
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-hotel/enchanted-garden-restaurant
พอเสร็จจากทานข้าวรอเวลาเข้าสวนสนุก ก็ไปสำรวจร้านของที่ระลึกเสียหน่อย ทั้งสองโรงแรมจะมีร้านขายของอยู่ตรงประตูทางเข้าเลยครับ เป็นจุดที่คอยดูดเงินตั้งแต่เก้าแรกที่มาเยือน จนกระทั่งวันกลับครับ ของทุกอย่างน่ารักมากจนแทบห้ามใจไม่ไหว ถึงไม่ได้ใช้เองก็อยากซื้อไปฝากชาวบ้าน ใครมีลูกหลานพาเข้าไปก็เตรียมทำใจได้เลยครับ


ร้านขายของที่ระลึก “Kingdom Gifts” จะอยู่ก่อนข้าง Lobby ของโรงแรมครับ มีของเล่นต่างๆ มากมายที่คัดสรรมาเพื่อให้ดึดดูดแขกของโรงแรม แนะนำว่าให้พยายามไปเล็งๆ ไว้ก่อนครับ ถ้าอันไหนมีขายตรงนี้จะได้ไม่ต้องเสียพลังงานแบกมาไกลจากในดิสนีย์แลนด์ ส่วนราคาของทุกอย่างมาตรฐานเท่ากันหมดครับ
Kingdom Gifts :
สถานที่ : Hong Kong Disneyland Hotel
เวลาเปิดให้บริการ : 08:00 am – 11.00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/kingdom-gifts


เช้านี้เราก็ใช้บริการฟรี Shuttle Bus ซึ่งจะจอดแวะอยู่สามแห่ง — Hong Kong Disneyland / Hong Kong Disneyland Hotel / Disney’s Hollywood Hotel — ซึ่งมีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกกับแขกที่มาพักในโรงแรม โดยรถจะวิ่งตลอดทั้งวันเลยครับ (ลองดูตารางเวลาได้ตามลิงค์เลยครับ) แต่ละคันก็จะติดสติ๊กเกอร์เป็นลายเครื่องเล่นต่างๆ ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/guest-services/resort-shuttles-getting-around-hong-kong-disneyland

นั่งรถมาได้ครึ่งทางมีข้อผิดพลาด นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าเงินไว้ที่ห้องครับ เลยต้องรีบกลับไปเอาโดยนั่งรถย้อนไปใหม่ ปล่อยให้ลูกกับคุณแม่เข้าไปก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ได้ข่าวว่าสองคนนี้ติดใจแอบกลับไปเล่น “Buzz Lightyear Astro Blasters” วนอยู่สองรอบระหว่างรอ พอผมมาจึงมุ่งหน้าไปยัง “it’s a small world” เครื่องเล่นชิวๆ ที่มีอยู่ทุก Disneyland และก็เป็นเครื่องเล่นที่ผมต้องต่อแถวเล่นทุกดิสนีย์แลนด์ไม่ว่าคิวจะยาวเท่าไหร่ก็ตาม

ด้านในก็จะแบ่งเป็นโซนตามทวีปทั้งเจ็ด เราก็จะล่องเรือเข้าไปผ่านทวีปต่างๆ โดยมีหุ่นกระบอกเด็กของแต่ละประเทศในชุดประจำถิ่น รวมถึงสัตว์น่ารักมากมายของโซนนั้น รอคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมร้องเพลงสุดฮิต “it’s a small world” ไปตลอดเส้นทาง เวลาร้อนมานั่งแช่แอร์ชมวิวฟังเพลงก็ฟินแล้วครับ


แต่ละโซนก็จะมี Landmark ที่ชัดเจน รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเด็ก ที่ทำให้เดาออกได้ไม่ยากว่าเป็นประเทศใด โดยทุกอย่างถูกจับมายำรวมกันไว้ในเวลาล่องเรือ 9 นาที ซึ่งเมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกินจนอยากกลับมาเล่นใหม่

ของที่นี่จะใหม่กว่าที่อื่น เนื่องจากสร้างขึ้นมาทีหลัง Disneyland ที่อื่น จึงได้เปรียบที่ความสดและสีสดใส จากที่ไปมาหลายแห่งผมว่า “it’s a small world” ที่นี่เจ๋งสุดล่ะ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าอันอื่นเขาปรับปรุงหรือยกเครื่องใหม่บ้างรึเปล่านะครับ สำหรับที่นี่ก็พอเรือแล่นผ่านบางประเทศ เช่น อเมริกาก็จะมีตุ๊กตาจาก “Toy Story” มาประกอบ หรือเช่นเดียวกับฮาวายก็จะมี “Lilo & Stitch” มาทักทาย
“it’s a small world” :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เคลื่อนที่ช้า
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/its-a-small-world

ถัดมาใกล้กันก็จะเป็น “The Golden Mickey” ซึ่งเปรียบได้กับงานออสการ์ของ Disney Animation ครับ เป็นการจำลองอารมณ์และเลือกตอนสำคัญมาเป็นไฮไลท์ของการแสดง ซึ่งโชว์นี้จะเป็นศูนย์รวมของ Disney Characters เยอะมากจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมี Mickey & Minnie เป็นตัวชูโรงพร้อมกับพิธีกรคนปกติมาร่วมในงานประกาศรางวัล เป็นอีกโชว์ที่เด็กโตหน่อยคงชอบ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ได้ย้อนระลึกถึงการ์ตูนเก่าๆ ที่เคยชมในวัยเด็กครับ สำหรับเด็กน้อยจริงๆ อย่างลูกชายผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ตอนแรกก็เหมือนตื่นเต้นดี แต่พอไปสักพักก็เริ่มบ่นอยากออกเพราะโชว์มันยาว และตัวละครจากบางเรื่องจะไม่รู้จัก เช่น พวกนิยายเจ้าหญิงหรือนางเงือกทำนองนี้ครับ ส่วนผู้ใหญ่นี่ดูไปทีนึงอาจไม่จุใจอยากกลับมาดูอีกรอบ แต่งานนี้ลูกชายผมบอกรอบเดียวพอแล้วฮับ

การแสดงนี้หากต้องการที่นั่งดี แนะนำว่าอาจต้องยอมมาเข้าคิวรอสักเล็กน้อยก่อนเวลา เพื่อที่จะได้เลือกที่นั่งบริเวณด้านหน้าเวทีหรือกลางห้องโถง โดยเฉพาะใครต้องการถ่ายภาพดีๆ ต้องอยู่ตรงกลางเวทีครับ อย่างคราวที่มาปีก่อนผมยอมนั่งแถวสุดท้ายแต่ตรงกลางเป๊ะ เพื่อที่ว่าจะได้สะดวกเวลาถ่ายรูป หรือบางทีถ้ายืนถ่ายบ้างจะได้ไม่บังชาวบ้านครับ ผมใช้เลนส์เทเลสามารถดึงมาได้ไกล หรือหากช่วงปกติก็อาจไกลไปนิดแต่ได้ครบทั้งเวที ถ้าใครไม่เน้นถ่ายภาพก็อาจจะเอาแถวกลางหรือหน้าหน่อยไม่ไกลเกินไป เพื่อที่จะได้สัมผัสกับตัวละครใกล้ชิดขึ้นนะครับ
รอบนี้ผมไม่ได้รีบต่อคิวเท่าไหร่ เพราะว่ามัวเอาลูกเล่นเครื่องเล่นอื่นก่อน พอมาถึงก็ใกล้เวลาแสดงเต็มทีครับ ก็เลยยอมนั่งบริเวณปีกด้านซ้ายแต่แถวหน้าเกือบสุดเลยครับ ถึงแม้ว่าไม่เห็นกลางเวทีแต่ก็ได้ใกล้ชิดดาราเห็นหน้าชัดเจนอย่างยิ่ง ยังไงลองเทียบความแตกต่างของมุมมองเวลาชมกับตอนที่แล้วได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะครับ จะได้ทราบว่าชอบมุมแบบไหน พอไปแล้วสามารถรีบเข้าไปเลือกที่นั่งที่อยากได้ตามต้องการ ถ้าใครอยากได้ที่นั่งแถวหน้าตรงกลางๆ คงต้องสู้กันหน่อย แนะนำว่าต้องมารอก่อนรอบการแสดงอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้เป็นมาเข้าคิวก่อนชาวบ้านครับ
ย้อนรอยบรรยากาศงานแสดง (ทริปแรก) :
กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “Hong Kong Disneyland” — วันที่ 2 : ตะลุย 7 ดินแดนมหัศจรรย์
แจกวาร์ป : https://oatenroute.com/2015/01/10/0102002

ไม่รู้ว่าลองวาร์ปกลับไปตอนก่อนเทียบกันแล้วชอบยังไงบ้าง เอาเป็นว่าผมสรุปให้แล้วกันนะครับ ถ้าเน้นถ่ายรูปให้อยู่กลางเวทีดีสุด แล้วก็แถวหน้าหลังก็สุดแต่ดวงว่าจะแย่งชิงมาได้รึเปล่า หากไม่ซีเรียสมากเรื่องรูปและมุมกล้อง อยู่ด้านหน้าไม่ว่ากลางหรือด้านข้าง จะเห็นตัวละครใกล้ชิดกว่าครับ ซึ่งอันหลังนี่ไม่ต้องใช้กำลังและความเร็วแย่งชิงกันมากเท่าไหร่ แล้วก็ถ้าคนไม่เยอะจนเกินไปก็ไม่ต้องเสียเวลารอคิวเข้าแถวล่วงหน้านานก็พอไหว เก็บเอาเวลาไปเล่นเครื่องเล่นอื่นดีกว่า
The Golden Mickey – Presented in Disney’s Storybook Theatre :
สถานที่ : Fantasyland
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ตารางเวลา : 12:30 pm / 01:30 pm / 03:45 pm / 04:45 pm / 06:00 pm
เวลาการแสดง : ประมาณ 30 นาที
เปิดทำการวันสุดท้าย : 26 กรกฎาคม 2015เครื่องเล่นใหม่ที่มาแทน : Mickey and the Wondrous Book
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/mickey-and-the-wondrous-book/

เสร็จจากนี้เราต้องรีบไปทานข้าวครับ เพราะว่าเลยเวลาทานมานานแล้ว เป้าหมายเราอยู่ที่ “Clopin’s Festival of Foods” ซึ่งจะเป็นร้านใหญ่และอยู่ไม่ไกลกับที่หมายของเราในช่วงภาคบ่ายครับ มองเข้ามาจะเห็นเหมือนเป็นเต็นท์สีสันสดใสในยุคศิลปะสมัยกลาง (Medieval) มีอาหารถูกปากให้เลือกมากมาย
Clopin’s Festival of Foods :
ศูนย์อาหารแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจชื่อมาจาก “เทศกาลจำอวด (Festival of Fools)” โดยเล่นคำเปลี่ยนจาก “Fools” เป็นคำว่า “Foods” นำเรื่องราวจาก “Disney’s The Hunchback of Notre Dame” หรือ “คนค่อมแห่งนอเทรอดาม” ซึ่งเป็น animation ปี 1996 เมื่อตอนผมจบปีสี่พอดี — #นี่มันดักแก่นี่นา #บางคนเกิดไม่ทัน #พลาดล่ะตู #อัยยะ #ตอนนี้ยังไม่ถึงสามสิบละกัน #หยุดอายุไว้ที่ยี่สิบห้า — มาเป็นไอเดียบรรยากาศของร้านอาหาร ซึ่ง “Clopin” เป็นผู้ดำเนินรายการหรือพิธีกรเวลามีเทศกาลสำคัญต่างๆ และก็ยังเป็นเลขาของผู้นำ “วังปาฎิหาริย์ (Court of Miracle)” ซึ่งเป็นองค์การใต้ดินอันทรงพลังของพวกยิปซีอีกด้วย โดยรวมหาข้อมูลเพิ่มเติมมาก็ประมาณนี้ครับ เรื่องนี้ไม่เคยดูเหมือนกัน
สถานที่ : Fantasyland
ประเภทอาหาร : อาหารจีน / มังสวิรัติ (Vegetarian)
บริการ : อาหารจานด่วน (บริการด้วยตนเอง)
เวลาเปิดให้บริการ : 11:30 am – 09:00 pm
ราคา : $$ / HK$100 – HK$200
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/clopins-festival-of-foods

เหตุผลหลักที่มื้อนี้เลือก “Clopin’s Festival of Foods” ก็เพราะว่าเป็นร้านที่ให้บริการอาหารจีน แน่นอนว่าค่อนข้างถูกปากคนเอเซียอย่างพวกเรา นักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาก็เป็นชาวจีนและเอเซีย ร้านจึงค่อนข้างเต็มและเป็นที่นิยมตลอดครับ สำหรับลูกผมนี่ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกหรืออาหารฝรั่งเท่าไหร่ มาเที่ยวก็เลยมีตัวเลือกไม่มากนัก ยังโชคดีที่ดิสนีย์แลนด์นี้เน้นเอาใจชาวเอเซีย มีอาหารถูกปากมากมายจึงไม่ค่อยมีปัญหาครับ ส่วนของราคาอาหารก็ค่อนข้างสูง แต่ก็ถือว่าตามศูนย์อาหารที่ต้องบริการด้วยตัวเองนี้ก็ยังถูกว่าแบบนั่งร้านที่มีคนเสิร์ฟถึงโต๊ะเหมือนที่ทานเมื่อวานมื้อเที่ยงครับ
คำแนะนำ : เวลาไปเที่ยวหากมีพวกกระดาษเปียกติดไปด้วยก็จะดีนะครับ บางทีเวลาคนก่อนหน้าเราทานเลอะเทอะก็จะพอช่วยได้บ้าง เพราะในช่วงเวลารีบเร่งคนมาทานเยอะแล้วพนักงานเก็บกวาดไม่ค่อยทัน พอเราเห็นคนลุกก็ต้องปรี่เข้าไปแย่งชิงเหมือนเก้าอี้ดนตรี ซึ่งต้องรีบเอาโต๊ะไว้ก่อนทั้งที่พนักงานยังไม่ทันเดินมาเคลียร์ สำหรับพ่อกับแม่ที่มาพร้อมเด็กเล็กคงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะค่อนข้างจะมีกระดาษเปียกติดตัวเป็นนิสัยอยู่แล้ว ยังไงก็ตาม การดูแลรักษาความสะอาดที่นี่ถือว่าเยี่ยมครับ ไม่ได้โหดร้ายเหมือนจีนแผ่นดินใหญ่อย่างที่บางคนอาจกลัว
สำหรับโปรแกรมในช่วงบ่ายจะเป็น “Autopia” ซึ่งลูกผมเรียกร้องตั้งแต่เมื่อวาน แต่ว่าคิวยาวมากเกือบชั่วโมงได้ วันนี้จึงวางแผนว่ารีบทานข้าวให้เสร็จก่อนจะได้ไปต่อคิวระหว่างที่คนแห่ไปดูพาเหรดกันหมดตอนบ่ายสาม แต่ช้าไปนิดเดียวครับเพราะมัวเสียเวลารอรถเข็นเด็กที่หายไป (คาดว่ามีคนมั่วนิ่มแน่นอน) กว่าจะได้อีกคันมาแทนพาเหรดก็เริ่มแล้ว จึงไม่สามารถตัดขบวนเพื่อไปเล่นเครื่องเล่นที่อยู่อีกฟากนึงได้ครับ

ทันทีเมื่อพาเหรดผ่านไปก็รีบพุ่งดิ่งไปยังเครื่องเล่น Autopia เลย ซึ่งโชคดีมากที่คนยังไม่กลับมากัน คิวยาวเพียง 15 นาที เท่านั้นครับ สำหรับเครื่องเล่นนี้จะเป็นรถไฟฟ้าขับได้จริงวิ่งบนรางซูเปอร์ไฮเวย์ไปตามทางที่กำหนด พอเข้าไปด้านในจะมีสองเส้นทางให้เลือก ซึ่งผมกับลูกแยกกันคนละเส้น คุยกันแล้วทางที่ผมขับ (เลือกลงด้านขวามือ) จะเห็นวิวสวยกว่าในมุมสูงด้วย โดยเด็กเล็กสามารถขับได้เองลำพังถ้าสูงเกิน 1.37 เมตร หากเตี้ยกว่าต้องมีผู้ใหญ่นั่งไปด้วยจึงจะขับได้ครับ
เครื่องเล่นนี้เหมาะกับบรรดา ส.ว. (สูงวัย) อายุวัยใกล้เกษียณขึ้นไปซึ่งอาจไม่ถูกกับเครื่องเล่นความเร็วสูงหรือผาดโผนนัก บางครั้งจะเห็นอากงกับอาม่าที่มากับหลานเล่นอยู่บ่อยครั้ง สำหรับเด็กน้อยนี่จะเป็นที่ชื่นชอบมากครับ แนะนำเลยว่ามีเด็กควรพามาลองแล้วจะติดใจแน่นอน เพราะว่าเด็กมีโอกาสได้ขับรถจริงและไม่อันตรายเลย เวลาขับก็จะวิ่งไปตามรางบนเส้นทางที่กำหนด ไม่มีชนกันสนั่นหวั่นไหว เว้นแต่จูบก้นกันพอขำๆ เท่านั้นเอง เวลาขับชนรางแล้วหัวเราะกันสนุกสะใจมาก — #แม่น้องนภกล่าวไว้ — อยากมาซ้ำอีกหลายรอบแต่เวลาไม่อำนวย ไม่คุ้มที่จะมารอเป็นชั่วโมงครับ ส่วนวัยรุ่นอย่างผมซึ่งเน้นหนักไปทางแนว Fast & Furious จึงขอสัมผัสเครื่องเล่นนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ ถ้าจะมาอีกรอบคงเพราะโดนเจ้าตัวเล็กลากมาเท่านั้นล่ะครับ
Autopia :
สถานที่ : Tomorrowland
ความสูงผู้เล่น : สูงเกิน 81 เซนติเมตร
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เคลื่อนที่ช้า
เปิดทำการวันสุดท้าย : 11 มิถุนายน 2016เครื่องเล่นใหม่ที่มาแทน : Marvel Ride
ข้อมูลเพิ่มเติม : คาดว่าเสร็จภายในปี 2023

หลังจากวันนี้เจอแต่เครื่องเล่นอนุบาลหมีน้อยมาตลอดทั้งวัน พ่อบ้านใจกล้าขอเสียวบ้าง จึงชวนย้ายข้ามโซนเพื่อไปเล่นเครื่องเล่นหมีโหดกันดูบ้าง ระหว่างทางบริเวณป้ายทางเข้า Tomorrowland เห็นทีมคล้ายกับพนักงานทำความสะอาดตัวปลอม มาในชุดพนักงานเก็บกวาดพร้อมอุปกรณ์ครบครัน เหมือนกำลังจะแสดงโชว์พอดีเลยหยุดแวะดูครับ พวกนี้ถูกเรียกว่า “Jammitors” — หากใครเคยรอดูขบวนพาเหรดกลางวันบริเวณ Main Street, U.S.A. ก็จะเจอกลุ่มนี้มาเล่นถ่วงเวลาระหว่างรอพาเหรดเริ่ม คนจะได้ไม่เบื่อน่ะครับ — ได้ชื่อว่าเป็น “กลุ่มบันเทิงพเนจรข้างถนน (Street Entertainment)” ในโซน Tomorrowland
The Jammitors – Street Entertainment at Tomorrowland :
แผลงคำมาจาก “Janitors (คนทำความสะอาด)” กลุ่มคนเหล่านี้นอกจากจะรักษ์โลกแล้ว ยังสามารถตีกลองได้อย่างสะแด่วแห้วอีกด้วย เทคนิคแพรวพราวมากมายจนไปตั้งวงดนตรีจริงได้เลย ความเฮฮาเป็นเลิศเต็มสิบ เวลาแสดงจะใช้ถังและอุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้ในความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น ถังใส่ขยะโลหะ ถังใส่น้ำพลาสติก ลูกยางปั๊มเวลาส้วมตัน (คงสะอาดแล้วนะ) มาใช้เล่นได้สร้างจังหวะเหมือนตีกลองได้อย่างเมามันส์
สถานที่ : Tomorrowland
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ตารางเวลา : ไม่แน่นอน (ดวงอย่างเดียว)
เวลาการแสดง : เล่นจนหมดแรง
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/street-entertainment-tomorrowland

จากตอนแรกที่เริ่มแสดงมีเพียงกลุ่มพวกผม แต่พอเล่นไปสักพักคนก็เริ่มล้อมรอบเพลิดเพลินกับการแสดง โดยเฉพาะเป็นที่ถูกใจของเด็กๆ มาก ต่างหัวเราะอย่างมีความสุขและก็ปรบมือให้เมื่อการแสดงจบ หากเจอพวกกลุ่มนักแสดงพเนจรในดิสนีย์แลนด์ ถ้ามีเวลาก็ลองแวะชมดูนะครับ มีอะไรน่าสนใจให้ชมมากมาย บางทีก็มีแสดงเต้น หรือว่าสาธิตการทำลูกโป่งเป็นรูป Disney Charactor ต่างๆ อีกด้วย
ลูกชายผมนี่ค่อนข้างสนใจการแสดงเป็นพิเศษเลยครับ นั่งดูโชว์ในรถแล้วก็หัวเราะดังลั่น วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ลองเช่ารถเข็นของดิสนีย์ครับ หลังจากเมื่อวานช่วงบ่ายเริ่มมีงอแงหลังจากหมดพลัง แต่พอเช่ามาแล้วฟินได้ตลอดวันไม่มีหยุด แถมเวลานั่งก็บังลมช่วยไม่ให้หนาวเกินไป หรือถ้าแดดออกก็กันได้ระดับหนึ่ง ถือว่าคุ้มค่าที่ตัดสินใจเช่ามาลองใช้ เวลาซื้อของหนักมาก็เอามาฝากไว้ได้อีกด้วยครับ แต่เจอปัญหานิดนึงตอนช่วงที่ทานข้าวและจอดไว้ พอกลับมาอีกทีรถหายไปไหนไม่รู้ครับ วุ่นวายต้องแจ้งเจ้าหน้าที่นำคันใหม่มาให้แทน โดยใช้หลักฐานการจองยืนยันความเป็นเจ้าของ ก็งงเหมือนกันว่าหายได้ยังไงทั้งที่จอดในบริเวณที่กำหนดไว้ แถมด้านหลังรถก็มีป้ายชื่อเราเขียนติดไว้ตัวเบ้อเริ่มอีกด้วย คาดว่ามีคนลักไก่หยิบรถเราไปใช้ครับ ถ้าหากใครมีรถเข็นเด็กน้อยก็ขนมาจากเมืองไทยก็ดีนะครับ เพราะว่าเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนและคงไม่ค่อยมีใครกล้าเอาไป ที่สำคัญช่วยทุ่นแรงไปได้เยอะทีเดียว เห็นพ่อแม่บางคนนี่ลูกเหนื่อยแล้วแบกกันตลอดทางคงเหนื่อยน่าดู ถึงแม้ว่าน้องจะเดินได้คล่อง แต่ถ้าต้องมาเดินทรหดในสวนสนุกก็อาจหมดสนุกกันไปหมดได้
การเช่ารถเข็น (Stroller Rental) :
สถานที่ : Firehouse at City Hall – Main Street, U.S.A.
น้ำหนักบรรทุก : เด็กหนักไม่เกิน 27 kg
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ราคา : HK$100 ต่อวัน
ค่ามัดจำ : HK$100 – คืนรถเข็นภายในช่วงเวลาทำการเพื่อรับเงินค่ามัดจำคืนพร้อมเอกสารในวันที่ยืม “เท่านั้น”
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/guest-services/stroller-rentalหมายเหตุ : รถเข็นมีจำนวนจำกัด มาก่อนได้ก่อนและไม่สามารถจองล่วงหน้าได้

หลังจากเบรคอารมณ์กันเล็กน้อยกับกลุ่มนักตีกลองพเนจร ผมก็พาทุกคนมายัง “Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars” ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่สนุกและมันส์สุดในดิสนีย์แลนด์ ที่สำคัญเป็นเครื่องเล่นที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น เป็นส่วนต่อเปิดโซน “Grizzly Gulch” ขึ้นมาใหม่จากตอนเปิดสวนสนุกครั้งแรก เมื่อ14 กรกฎาคม 2012 นี้เอง
หากดูเผินๆ เครื่องเล่นนี้จะค่อนข้างคล้ายกับ “Big Thunder Mountain Railroad” ที่เคยเล่นดิสนีย์แลนด์แห่งอื่น แต่ผมขอยืนยันเลยว่า ความมันส์ ความเสียว ความเร็วนี่ต้องยกให้อันนี้ครับ ส่วนนึงคงเป็นเพราะได้ความสดที่สร้างใหม่ และก็เทคโนโลยีการออกแบบที่ทันสมัยกว่าด้วย
แจกวาร์ป : http://disneyland.disney.go.com/attractions/disneyland/big-thunder-mountain-railroad — ลองเปรียบเทียบครับ

ตอนที่ตัดสินใจเลือกมาเล่นอันนี้ก็ลังเลอยู่พอควรครับ ไม่แน่ใจว่าลูกจะเล่นไหวรึเปล่า เพราะอ่านดูแล้วเห็นว่าก้ำกึ่งระหว่างวัยที่เขาแนะนำ คือ “เด็กโต (Tweens)” ซึ่งมีอายุ 8-12 ปี เผอิญดูแล้วส่วนสูงผ่านมาเยอะ ก็เลยลองเล่นดู ซึ่งพอได้เล่นก็ถือว่าสอบไม่ผ่านเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าตอนเล่นลูกไม่โวยวายหรือแสดงหน้าตากลัวมาก แต่ก็บ่นตลอดเวลาที่นั่งว่าเร็วไปนิด พอลงมาแล้วบอกว่าไม่ซ้ำอีกแน่นอน ยังดีที่อาการหลังเล่นเสร็จปกติดีไม่งอแงเท่าไหร่ ระหว่างที่กำลังเล่นผมจะพยายามชวนคุยดึงดูดความสนใจตลอด ถึงลูกจะบ่นว่าเร็วไปแต่ก็ยังยิ้มออกครับ แสดงว่าพอเล่นไหวแต่คงไม่ชอบเท่าไหร่นัก ที่ผมกล้าลองให้เล่น ก็เพราะว่าทริปก่อนเห็นลูกชายของพี่ที่ร่วมทริป (7 ขวบ) สนุกกับเครื่องเล่นนี้มาก จนขอเล่นซ้ำอีกหลายรอบ ทั้งนี้ผมว่าขึ้นอยู่กับอุปนิสัยเด็ก ผมว่ายังไงก็พิจารณาดูเป็นกรณีไปครับ เพราะถ้าน้องสนุกไปเลยก็จะติดใจ แต่ถ้ากลัวก็อาจเป็นความฝังใจไม่กล้าเล่นอีกครับ ของลูกผมนี่ไว้รออีกสักปีหรือสองปีค่อยมาลองเครื่องเล่นแนวนี้ใหม่
Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars :
สถานที่ : Grizzly Gulch
ความสูงผู้เล่น : สูงเกิน 112 cm
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กโต (อายุ 8-12 ปี) วัยรุ่น เด็กโข่ง
ปัจจัยความเสียว : หล่นลงด้วยความเร็วสูง เครื่องเล่นหวาดเสียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/big-grizzly-mountain-runaway-mine-cars


เห็นเสียวกันอย่างนี้ก็เลยพักเบรคกันอีกรอบ พากันไปที่โซน Mystic Point เพื่อไปดูของฝากกันครับ พอดีเมื่อวานเดินออกมาเจอร้าน “The Archive Shop” แล้วมีของน่าสนใจหลายอย่าง ได้ของฝากร้านนี้หลายอย่างเลยครับ ของที่ขายจะไม่เหมือนร้านอื่น ส่วนใหญ่จะเป็นของที่เกี่ยวกับเรื่องราวจาก “Mystic Manner” แม้กระทั่งร้านค้าใหญ่ๆ ศูนย์รวมครบวงจรมีของแทบทุกอย่างตรง Main Street, U.S.A. ยังหาของแบบร้านนี้ไม่ได้ครับ ยังไงสนใจของแปลกต้องลองแวะดูนะครับ

The Archive Shop :
สถานที่ : Mystic Point
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/archive-shop
พอดีได้ของก็ไปต่อกัน Toy Story Land เลยดีกว่า วันนี้หมาน้อยติดสปริงคิวยาวเลยไม่ได้ต่อแถวครับ ส่วนเครื่องเล่นอื่นก็ท่าทางจะแรงไปสำหรับเจ้าตัวแสบ ก็เลยพาไปดูเฉยๆ ว่ามันเสียวแค่ไหน อีกหน่อยค่อยมาลองเล่นด้วยกันใหม่ ซึ่งรอบที่แล้วนี่ผมลองมาหมดแล้ว ยกให้ “RC Racer” เป็นที่สุดเพียงหนึ่งเดียวที่ทำผมหวิวจนเหงื่อเปียกเต็มมือตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเล่นกันเลยทีเดียว แต่พอได้ลองครั้งหนึ่งมันก็สนุกจนอยากซ้ำอีกที รวมแล้วน่าจะขึ้นไปประมาณสามรอบครับ สำหรับเครื่องเล่นนี้บอกเลยว่าเสียวเหมือนเล่นไวกิ้งบ้านเรา ซึ่งผมไม่ค่อยถูกโฉลกเท่าไหร่อยู่แล้วครับ เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนสภาพไร้น้ำหนัก และตัวลอยโดยไม่มีอะไรยึดสักอย่าง รู้สึกได้ว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยและหวิวไปนิด มาอันนี้จะดีตรงที่ว่ามีที่ล็อคไว้เหนียวแน่นไม่มีหลุดตกมาแน่นอน ถ้าจะเอาขั้นปริญญาเอกแบบเสียวสุดต้องแถวหลังนั่งท้ายรถเท่านั้น
RC Racer :
สถานที่ : Toy Story Land
ความสูงผู้เล่น : สูงเกิน 120 เซนติเมตร
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กโต (อายุ 8-12 ปี) วัยรุ่น เด็กโข่ง
ปัจจัยความเสียว : หล่นลงด้วยความเร็วสูง เครื่องเล่นหวาดเสียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/rc-racer
ส่วนเครื่องเล่นอีกหนึ่งอย่างที่เหลือในโซนนี้ คือ “Toy Soldier Parachute Drop” ซึ่งรอบก่อนลองมาแล้วเหมือนกัน แต่อันนี้ผมยอมแพ้ ไม่คิดจะซ้ำอีกแล้วครับ เป็นเครื่องเล่นไม่ได้เน้นเสียวเพราะความเร็ว แต่จะหวิวมากตอนที่เราถูกดึงไปค้างสูงสุดอยู่ด้านบน แล้วปล่อยตกมาเบาๆ แบบร่มชูชีพ โดยรวมผมว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยกลัวนะครับ แต่ผมนี่ไม่ค่อยถูกกับความสูงแล้วขาห้อยต่องแต่งแบบนี้ ส่วนใหญ่จะชิวกันเสียมากกว่าเพราะวิวด้านบนสวยมาก พอขึ้นไปแล้วเห็นทั่วดิสนีย์แลนด์เลยครับ
Toy Soldier Parachute Drop :
สถานที่ : Toy Story Land
ความสูงผู้เล่น : สูงเกิน 81 เซนติเมตร
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กเล็ก เด็กโต (อายุ 8-12 ปี) วัยรุ่น เด็กโข่ง
ปัจจัยความเสียว : หล่นลงในแนวดิ่ง เครื่องเล่นหวาดเสียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/toy-soldier-parachute-drop

วันนี้เริ่มเป็นวันจ่าย เพราะว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับจะซื้อของไม่ทัน เมื่อวานเล็งของไว้ที่ร้าน “Andy’s Toy Box” ใน Toy Story Land ซึ่งของหลายอย่างจะมีขายแต่ที่ร้านนี้เท่านั้น เมื่อวานเห็นรองเท้าแตะใส่ในบ้านให้ลูกครับ เป็นตัวละครสุดโปรด “Aliens” จาก Toy Story แต่ดันไม่มีไซส์ก็เลยเงิบกันไป ความจริงมีของถูกใจมากมาย แต่ท่าทางจะแบกกลับไม่ไหวเลยมียั้งไว้บ้างครับ

Andy’s Toy Box :
สถานที่ : Toy Story Land
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/andys-toy-box

เสร็จจากนี้ต้องรีบหาข้าวกินครับ เพราะคืนนี้เราจะมีคิวรอดูพลุซึ่งเป็นไฮไลท์ยามค่ำคืนที่ห้ามพลาดเช่นกัน สำหรับค่ำคืนนี้ผมก็ยังคงตามรอยจากทริปก่อน ไปร้าน “Main Street Corner Cafe” ซึ่งตั้งอยู่ปลายหัวมุมถนนพอดี หากมาทานเช้าก่อนที่ชาวบ้านเขาจะมากันก็มีที่นั่งบ้างครับ หากช้าส่วนใหญ่มักจะเต็มและคิวยาวมาก กว่าจะรอก็นานเพราะไม่ใช่อาหารจานด่วน แนะนำให้ไปจองที่นั่งไว้แต่กลางวันจะดีมาก หากช่วงเทศกาลคงต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือนเลยทีเดียว


Main Street Corner Cafe – Hosted by Coca-Cola :
สถานที่ : Main Street, U.S.A. ประเภทอาหาร : อาหารตะวันตก (Western) / มังสวิรัติ (Vegetarian)
บริการ : รับจองที่นั่งล่วงหน้า บริการเสิร์ฟที่โต๊ะ
เวลาเปิดให้บริการ : 11:00 am – 09:30 pm
ราคา : $$$ / HK$200 – HK$500
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/plaza-innการจองที่นั่ง : +852 3550-3388 — สามารถจองล่วงหน้าได้ไม่เกิน 42 วัน ก่อนมาทาน หรือ 120 วัน สำหรับแขกที่พักภายใน Hong Kong Disneyland Hotel หรือ Disney’s Hollywood Hotel
หลังมื้อค่ำก็เป็นคิวของอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาด “Disney in the Stars Fireworks” ซึ่งเป็นโชว์พลุสุดอลัง 12 นาที ซึ่งหากได้มุมเด็ดแถวหน้าไม่มีหัวคนบังต้องรีบไปนั่งจองทันทีหลังพาเหรดกลางคืนจบลง ดังนั้นหากชมพาเหรดก็ต้องอยู่แถวนี้เพื่อจะได้ที่นั่งตรงกลางปราสาทแถวหน้าสุดเท่านั้น ซึ่งบริเวณนี้จะไม่สามารถยืนได้เนื่องจากจะบังคนด้านหลัง แถมยังต้องรออยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาจุดพลุ ถือว่าเป็นการทดสอบความอึดหากต้องการภาพสวยๆ หากไม่ซีเรียสมากเรื่องรูป ผมว่าไปเล่นเครื่องเล่นอื่น แล้วค่อยกลับมาตอนใกล้เวลาแสดงครับ
Disney in the Stars Fireworks :
สถานที่ : Main Street, U.S.A.
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ตารางเวลา : ไม่แน่นอน ขึ้นกับวันและเทศกาลต่างๆ ให้เช็คกับปฏิทินหรือแผ่นพับ
เวลาการแสดง : 12 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/disney-in-the-stars-fireworks/หมายเหตุ : เนื่องจากเป็นการแสดงกลางแจ้ง หากสภาพอากาศไม่ดี เช่น ฝนตก ลมแรง อาจมีการยกเลิกได้ทันทีโดยต้องไม่แจ้งล่วงหน้า
พลุเป็นการแสดงชุดสุดท้ายของดิสนีย์ หลังจากแสดงเสร็จทางเจ้าหน้าที่จะเริ่มกั้นพื้นที่เพื่อทำความสะอาดเก็บกวาดขยะ แล้วค่อยๆ ต้อนผู้คนออกมาเรื่อยๆ ช่วงที่พลุแสดงเสร็จ ควรรีบเดินออกมาเลยครับ เพราะว่าต้องไปต่อคิวขึ้นรถกลับโรงแรม หากชักช้าคิวจะยาวและเสียเวลารอ โดยเฉพาะคนที่ต้องขึ้นรถไฟฟ้ากลับนี่ควรรีบเป็นพิเศษ ส่วนผมก็ต้องเอารถเข็นไปคืนเพื่อที่จะได้ค่ามัดจำคืนด้วยครับ


กลับมาโรงแรมยังได้ของไม่ครบ จึงไปตะลุยกันซื้อของที่ระทึกกันต่อที่ร้าน Kingdom Gifts ที่โรงแรม สามารถช้อปกันเพลินไม่ต้องรีบร้อน กว่าร้านจะปิดก็ห้าทุ่มเลยทีเดียวครับ

ช่วงดึกหลังจากจับลูกอาบน้ำและเข้านอนเรียบร้อย พ่อบ้านเมียเผลอจึงแอบย่องออกมาสำรวจและเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบโรงแรมครับ เพราะว่ามานอนที่ Hong Kong Disneyland Hotel แต่ว่ายังไปไม่ค่อยถึงไหนเลย เช้ามาก็ต้องรีบออกไปสวนสนุก ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองที่เหลืออยู่ พรุ่งนี้ก็ได้เวลากลับเมืองไทยแล้ว

ผ่านประตูเข้ามาจะเห็นโถง Main Lobby ก่อนเป็นอันดับแรก เป็นที่นั่งรอสำหรับแขกที่มาพัก ช่วงกลางวันก็จะมีคนมาเล่นเปียโนเพราะๆ ให้ฟังด้วยครับ เพลงส่วนใหญ่ก็มักเป็นเพลงคุ้นติดหูประกอบ Animation ของดิสนีย์ รวมไปถึง Frozen ที่ยังคงฮิตติดหูทั้งที่หนังฉายไปนานแล้ว
Hotel Orchestra at Hong Kong Disneyland Hotel :
สถานที่ : Hong Kong Disneyland Hotel
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ตารางเวลา : ไม่ทราบแน่นอน
เวลาการแสดง : เล่นจนหมดแรง
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/live-band-at-disneyland-hotel
เดินจากโถง Main Lobby เข้าไปก็จะเป็น Counter Check-in ซึ่งสามารถซื้อตั๋วเข้าสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ รวมไปถึงซื้อคูปองร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบุฟเฟ่ต์ข้ามโรงแรม ซึ่งตอนซื้อผมก็ซื้อ voucher สำหรับทางบุฟเฟ่ต์อาหารเย็น (เย็นวันแรก) พร้อมจองเวลาที่จะเข้าไปทานผ่านตรงนี้ได้เลย โดยพนักงานคอยช่วยดูแลอธิบายน่ารักมากครับ

เมื่อเช็คอินเสร็จก็จะมีโถงทางเดินไปสองทางครับ ด้านหนึ่งก็จะผ่านไปทางปีกที่เป็นห้องพัก ซึ่งเฉพาะแขกที่พักโรงแรม ส่วนอีกด้านก็จะมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารจีน “Crystal Lotus” ซึ่งผมมีโอกาสมาทานเมื่อรอบที่แล้ว รวมไปถึงห้องน้ำและก็บันไดจากเรื่อง Cinderella
Crystal Lotus :
สถานที่ : Hong Kong Disneyland Hotel
ประเภทอาหาร : อาหารจีน / มังสวิรัติ (Vegetarian)
บริการ : สไตล์ครอบครัว / บริการอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของดิสนีย์ (Signature) / รับจองที่นั่งล่วงหน้า / บริการเสิร์ฟที่โต๊ะ
เวลาเปิดให้บริการ : 12:00 pm – 02:30 pm / 06:00 pm – 10:00 pm
ราคา : $$$ / HK$200 – HK$500
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-hotel/crystal-lotus-restaurantห้องอาหารนี้ให้บริการอาหารจีน มีตัวเด่นเป็น “Signature Disney Dim Sum” ซึ่งของแท้มีเพียง Hong Kong Disneyland แห่งเดียวในโลกครับ (ณ ปัจจุบัน) ซึ่งจะทำพวกขนมจีบหรือซาลาเปาออกมาเป็นตัวละครดังจาก Disney และ Pixar ที่ออกมาน่ารักจนแทบจะไม่กล้าทาน ได้แก่
Mickey’s Seafood Glutinous Pancake : เป็นคล้ายแป้งทอดรสทะเลสไตล์จีน ทานกับซอสพริกเผ็ดๆ
Three Little Pigs Barbecue Pork Bun : ซาลาเปาไส้หมูแดงปั้นเป็นรูปหมูสามตัว
Duffy & ShellieMay Steamed Sweet Bun : ขนมปังรสหวานไส้หวานเป็นรูปหมีโฮก ไส้ทำจากเม็ดบัวกวนกับถั่วแดง
Litte Green Men Pork and Vegetable Bun : ซาลาเปาไส้หมูและผักปั้นเป็นรูป Aliens จาก Toy Story
Mickey’s Double Layer Turnip and Taro Pudding : ขนมหัวผักกาดและมีเผือกปนด้วยทำเป็นหัว Mickey
“Olaf” Steamed Red Bean Bun : ซาลาเปาถั่วแดงรูป “Olaf” จากเรื่อง “Frozen” มาเจอตอนรอบที่แล้วกำลังโปรโมท
Baymax Bun : ซาลาเปารุ่นล่าสุดเป็นตัว “Baymax” จากเรื่องที่ผมชอบมาก “Big Hero 6” ที่พึ่งลาโรงไปไม่นาน

สำหรับคืนนี้ขอเดินคร่าวๆ เพียงเท่านี้ก่อนละกันครับ เพราะว่าจะเดินออกไปถ่ายข้างนอกโรงแรมก็ลมหนาวมาก เผลอนิดเดียวเที่ยงคืนต้องรีบกลับไปอาบน้ำเข้านอนแล้วครับ เด๋วตัดภาพไปเจอกันพรุ่งนี้เช้าเลยดีกว่าครับ

มาถึงเช้าวันสุดท้ายของทริปอย่างรวดเร็วครับ เรายังคงทานอาหารเช้าที่ “Enchanted Garden Restaurant” กันเช่นเคย ความจริงตอนแรกก็มีลังเลว่าจะเลือกวันนึงไปลองทานที่ “Chef Mickey” ซึ่งอยู่ที่ Disney’s Hollywood อีกโรงแรมนึงดีไหม แต่สุดท้ายก็ไม่ย้ายเพราะว่าถึงแม้ทางโน้นอาหารจะไม่ต่างกันนัก แต่จะเจอตัวละครเพียง Mickey เพียงตัวเดียว แถมต้องมีบัตรคิวถ่ายรูปอีกด้วย จึงกะว่าขอซ้ำเก็บตกกับทีมใหญ่ Mickey & Friends ให้จุใจกันเลยดีกว่า แต่ถ้าหากใครจะไปก็สามารถจองข้ามโรงแรมได้เช่นกันครับ
Chef Mickey :
สถานที่ : Disney’s Hollywood Hotel
ประเภทอาหาร : อาหารนานาชาติ
บริการ : อาหารบุฟเฟ่ต์ เวลาเปิดให้บริการ : 07:30 pm – 11:00 pm / 05:30 pm – 10:00 pm
ราคา : $$$ / HK$200 – HK$500
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/disneys-hollywood-hotel/chef-mickey

เช้านี้พวกเราได้กลับมาอำลา Mickey และเพื่อนอีกครั้งนึง เสียดายที่ไม่เจอ Donald Duck กับ Daisy แฟนสาวเหมือนชาวบ้าน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใดเหมือนกันครับ อาจส่งซ่อมหรืออยู่ช่วงโลว์ก็เลยมาไม่ครบทีมใหญ่ สำหรับชุดของเหล่า Mickey ก็จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลหรือเทศกาล อย่างตอนมาคราวที่แล้วใส่แบบหน้าหนาวดูมีสีสันสดใสมากครับ รอบนี้ใส่ชุดขาวเป็นพ่อครัวธรรมดา
สำหรับใครที่ตั้งใจมาทานอาหารเช้าที่นี่ บอกเลยว่าทานไม่ค่อยคุ้มหรอกครับ ถึงแม้ว่าอาหารจะอร่อยและน่าทานยั่วยวนเพียงใด แต่ทุกคนมักจะมัวจดจ่อตื่นเต้นกับบรรดาเพื่อนดิสนีย์จนไม่เป็นอันทานอะไร ขนาดผมทริปนี้มาเจอวันที่สองแล้วยังไม่ค่อยได้ทานอะไรนัก แต่ว่าแค่ได้เจอกับ Mickey และผองเพื่อนก็ฟินสุดล้าว
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จก็ต้องรีบขึ้นไปเก็บกระเป๋า เสร็จแล้วจะได้ไปตะลุยดิสนีย์แลนด์เป็นการส่งท้าย โดยกระเป๋าเราสามารถนำไปฝากไว้กับโรงแรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยแขกของโรงแรมจะได้รับเอกสารตอนฝากกระเป๋า เพียงกลับมาพร้อมหลักฐานยืนยันครับ ในกรณีที่ไม่ได้พักโรงแรม หากต้องขึ้นเครื่องในตอนเย็น ก็สามารถนำไปฝากไว้ที่ดิสนีย์แลนด์โดยมีค่าใช้จ่ายครับ
Luggage Valet and Storage Lockers :
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/guest-services/luggage-valet-and-storage-lockers
หลังจากจัดการกระเป๋าเสร็จก็พาลูกไปดู Kid’s Club ของที่นี่บ้างว่าเป็นยังไง ระหว่างทางก็จะต้องผ่านบันไดบริเวณโถงบันไดที่มีโคมระย้าสุดอลัง บริเวณนี้เป็นบันไดที่ Cinderella กำลังรีบกลับบ้านหลังนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน จึงทำรองเท้าแก้วตกไว้แถวนี้ด้วยครับ ตอนไปหนัง “Cinderella” กำลังเข้าฉายพอดี


ตรงนี้ลงบันไดไปชั้นล่าง หรือถ้าขี้เกียจเดินก็ใช้ลิฟท์ที่อยู่ด้านข้าง เพื่อลงไป “Storybook Playroom” ซึ่งประตูทำเป็นรูปหนังสือนิทานเล่มใหญ่ให้เดินผ่านเข้าห้องสำหรับเด็ก จัดว่าเป็น Kid’s Club ที่เจ๋งสุดตั้งแต่เคยเห็นมาเลยครับ สำหรับเด็กที่พักที่ Hong Kong Disneyland สามารถใช้บริการได้ฟรี แต่เอาเข้าจริงๆ คงไม่ค่อยสะดวกใช้เท่าไหร่ เพราะเอาเวลาไปเล่นดิสนีย์แลนด์จะดีกว่าครับ
Storybook Playroom :
สถานที่ : Hong Kong Disneyland Hotel
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต (อายุ 8-12 ปี)
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/recreation/storybook-playroom

เพื่อไม่ให้เสียเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก พวกเราก็รีบออกเดินทางกลับไปดิสนีย์แลนด์กันครับ จากซุ้มขายตั๋วเราก็ต้องผ่านขบวนการตรวจสอบความปลอดภัยเหมือนทุกวัน ใครมีกระเป๋าก็ต้องเปิดให้ดูข้างใน แล้วจึงเอาการ์ดสแกนเพื่อผ่านประตูเข้าไปครับ หากต้องการออกมาทำธุระข้างนอก เขาจะประทับสีล่องหนไว้ที่มือเป็นหลักฐาน เพื่อที่กลับมาได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าไปอีกรอบ


ระหว่างที่รอรับรถเข็น บริเวณห้องน้ำจะมีตู้หยอดเหรียญที่ระลึก ซึ่งมีให้เลือกมากมายครับ เจ้าตัวแสบชอบไปหยอดแล้วก็เริ่มสะสมที่ดิสนีย์แลนด์แห่งนี้เป็นครั้งแรกครับ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกลายที่ชอบ หากใครขี้เกียจตามล่าเครื่องพวกนี้ สามารถไปเหมายกชุดได้ที่ร้านขายของที่ระลึกครับ แต่ส่วนตัวผมชอบแบบกดเองมันได้อารมณ์มากกว่าครับ


มาสองครั้งรู้สึกสะดุดกับตุ๊กตานุ่มนิ่มกลมปุ๊กหน้าตาน่ารักฝุดๆ บอกเลยครับว่าตอนแรกก็ไม่รู้จักแม้แต่น้อยเพราะว่าไม่ได้ติดตามดิสนีย์มานาน จนกระทั่งกลับมาแล้วคาใจจึงลองค้นข้อมูลนิดหน่อย ได้ความว่ามันชื่อ “Tsum Tsum” มาจากภาษาญี่ปุ่น ออกเสียงว่า “Some Some” ซึ่งแปลว่า “ซ้อนกันเรื่อยๆ (Stacking)” ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเกมชื่อว่า “Disney Tsum Tsum” ของ Line Corporation ซึ่งหลายคนที่เคยเล่นอาจพอทราบมาก่อน คงจะมีแต่ผมนี่ล่ะที่เชยไม่รู้จัก เพราะว่าปกติไม่ค่อยได้เล่น Line สักเท่าไหร่ แต่ก็มีช่วงนึงเพื่อนเกือบเลิกคบเพราะชอบส่ง Invite เกมวิ่งคุกกี้ (Cookie Run) ไปแลกพวกไอเทมเหมือนกันนะครัช กว่าจะเลิกได้ก็ต้องไปไกลถึงถ้ำกระบอกเลยทีเดียว “ถถถถถ”
สำหรับเกมนี้จะทำออกแนว Puzzle โดยนำเอาตัวละครดิสนีย์ที่โด่งดังแทบทั้งหมดมาแปลงเป็นตัวขนฟูมุ้งมิ้งน่ารักคโฮก อารมณ์ประมาณพวกเกมเรียงเพชรสมัยก่อนครับ ด้วยความนิยมและโด่งดังมากๆ จึงพัฒนาต่อมาเป็นตัวตุ๊กตาหลายขนาดน่าทนุถนอมมาก แม้กระทั่งชายร่างอวบอย่างผมยังทนความน่ารักไม่ไหว สอยมาหลายตัวเป็นของฝากชาวบ้านและหลานๆ เช่นกันครับ
แจกวาร์ป : http://itunes.apple.com/us/app/line-disney-tsum-tsum/id867964741?mt=8

กลับมาดิสนีย์แลนด์วันนี้เน้นเก็บตกอย่างเดียวครับ เพราะว่าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ที่เปิดให้บริการก็แทบจะไปมาทั่วหมด เช้านี้จึงโดนลูกชายลากไปเบาๆ สองรอบ ก่อนกลับออกไปช่วงเย็นโดนอีกสาม รวมเป็นห้ารอบในวันเดียว ถ้าทั้งทริปผมว่าน่าจะเกินสิบครับ จัดว่าเป็นเครื่องเล่นที่ลูกผมชอบมากที่สุดเลย


เล่นเสร็จผมพาลูกมาเล็งของเล่นเพื่อเป็นของเล่นติดมือกลับไปสักชิ้นครับ เล็งไว้เรียบร้อยกะว่าจะกลับมาเอาตอนก่อนกลับ ไม่อยากแบกของเยอะตั้งแต่เช้าเลย ที่สำคัญกลัวหายเวลาทิ้งของไว้ในรถด้วยครับ

เวลาที่เหลือทั้งวันกะว่าจะอยู่แถว Fantasyland นี่ล่ะครับ เพราะเครื่องเล่นส่วนใหญ่จะเหมาะกับเด็กเล็ก หรือถ้าใครอยากเจอกับพวก Mickey และเพื่อนๆ ก็ให้ไปแวะทักทายถ่ายรูปที่ “Fantasy Gardens” แต่ต้องดูตารางโชว์ตัวก่อนนะครับ สามารถตรวจสอบได้ในแผ่นพับที่แจกด้านหน้า
Fantasy Gardens :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด วัยที่สนใจ :
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : ไม่มี
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/fantasy-gardens

เครื่องเล่นถัดมาประจำวันนี้ “Dumbo the Flying Elephant” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งดาวดังตั้งแต่สมัยผมยังไม่เกิด พอจำความได้ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เข้าใจแต่ว่าช้างหูใหญ่บินได้แล้วก็อยู่คณะละครสัตว์ “จบ” ทราบเท่านี้ล่ะครับ แอบดีใจเพราะปกติเกิดทันดูแทบทุกเรื่อง อันนี้ตั้งแต่ปี 1941 ถ้าทันก็แย่แล้วล่ะครับ

โดยหลักการแล้วเครื่องเล่นนี้จะคล้ายกับ “Orbitron” ที่เล่นกันไปวันแรกครับ ซึ่งอันนี้จะออกแนว classic และดั้งเดิมกว่า เพราะเป็นตัวละครดิสนีย์ในยุคแรกๆ ตัวเครื่องเล่นมีคันโยกบังคับขึ้นลงได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเรานั่งได้เพียงทีละสองคน จึงต้องแยกกันคนละเครื่อง ในขณะที่จานบินนี่นั่งสามารถจุถึงสี่คนในลำเดียว มากับลูกทริปนี้ทำให้ได้ลองเครื่องเล่นที่ไม่คิดจะต่อคิวเลยครับ ปกติเน้นอันที่มันส์ๆ ไว้ก่อน
Dumbo the Flying Elephant :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : เคลื่อนที่ช้า หล่นวูบเบาๆ หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/dumbo-the-flying-elephant



เผลอนิดเดียวได้เวลาทานข้าวเที่ยงแล้วครับ ตอนแรกว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นร้านอื่น เล็งไว้ที่ “Royal Banquet Hall” ซึ่งเป็นศูนย์อาหารใหญ่อีกแห่งนึง ซึ่งจะมีอาหารค่อนข้างหลากหลาย แต่พอไปถึงร้านอาหารจีนกับญี่ปุ่นที่เล็งไว้ปิดบริการพอดี ซึ่งเป็นศูนย์อาหารที่คนแน่นมาก เนื่องจากประเภทอาหารค่อนข้างหลากหลาย และติดแอร์ภายในบริเวณด้วย ส่วนร้านอาหารจีนอีกร้าน “Comet Cafe” เห็นปิดยาวตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ก็เลยต้องย้อนกลับมาทานร้านเดิมเมื่อวานที่ “Clopin’s Festival of Foods” ในที่สุดครับ
Royal Banquet Hall :
ศูนย์อาหารแห่งนี้ตกแต่งให้อารมณ์ประมาณเจ้าชายกับเจ้าหญิงในห้องอาหารยุคกลาง ซึ่งจะแบ่งรวมๆ เป็น 4 ซุ้ม ภายในห้องอาหารติดแอร์ เหมือนเราจะทานอยู่ในเต็นท์งานเทศกาลสไตล์ยุโรปขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยเสาหินอ่อน โคมไฟระย้าเหล็กดัด งานไม้ที่หรูหรา และภาพวาดที่มีสีสันสดใส
ภายในศูนย์อาหารรายล้อมไปด้วยภาพสวยๆ และสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตำนานเจ้าหญิงที่โด่งดัง ได้แก่ ซินเดอเรลล่า สโนว์ไวท์ เจ้าหญิงนิทรา มู่หลาน เงือกน้อยแอเรียล เป็นต้น ซึ่งหลังจากได้ทานที่นี่แล้ว อาจทำให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศ และจดจำความประทับใจไปตลอดกาลนานเลยทีเดียว
สถานที่ : Fantasyland
ประเภทอาหาร : อาหารนานาชาติ — อเมริกัน ญี่ปุ่น และจีน
บริการ : อาหารจานด่วน (บริการด้วยตนเอง)
เวลาเปิดให้บริการ : 11:30 am – 09:00 pm
ราคา : $$ / HK$100 – HK$200
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/royal-banquet-hall
Comet Cafe :
เป็นศูนย์อาหารเล็กๆ ตั้งอยู่ในโซนโลกอนาคต เป็นที่พักเบรคในการผจญภัยท่ามกลางหมู่มวลดารา เน้นอาหารฮ่องกงที่มีชื่อ เช่น ข้าวราดบาร์บีคิวต่างๆ (หมูแดง ไก่ย่าง) บะหมี่ และอาหารจานผัด
สถานที่ : Tomorrowland
ประเภทอาหาร : อาหารจีน / มังสวิรัต (Vegetarian)
บริการ : อาหารจานด่วน (บริการด้วยตนเอง)
เวลาเปิดให้บริการ : 11:30 am – 09:00 pm
ราคา : $$ / HK$100 – HK$200
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/comet-cafe

ทานข้าวเสร็จก็กลับมาสู่โหมดช้อปหาของฝากกันอีกรอบ แถวร้านอาหารก็จะมี “Storybook Shoppe” ซึ่งจะมีพวกของจาก Frozen เยอะมากครับ ดังนั้นสาวก animation เรื่องนี้ โดยเฉพาะสาวน้อยทั้งหลายห้ามพลาดเลย มีทั้งเสื้อผ้า ตุ๊กตา ของเล่น ของแต่งบ้าน เป็นต้น สุดท้ายลูกชายผมเลยได้ที่ปิดหู “Olaf” มาแทนอันเก่าที่หักไป คราวนี้เวลาไปเที่ยวหน้าหนาวก็ชิวเหมือนเดิมแล้ว
Storybook Shoppe :
สถานที่ : Fantasyland
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/storybook-shoppeหมายเหตุ : ศูนย์รวมของจากเรื่อง “Frozen”
เนื่องจากเวลาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จึงรีบทำเวลาไปเล่นกันต่อ กลับมาซ้ำเครื่องเล่น “The Many Adventure of Winnie the Pooh” กันอีกรอบตามคำขอ พอออกจากเครื่องเล่นก็จะมาโผล่ “Pooh Corner” ร้านขายของที่เน้นแต่หมีพูห์ ซึ่งอยู่ด้านหลังปราสาทเทพนิยายพอดี
Pooh Corner :
สถานที่ : Fantasyland
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/pooh-corner


จากนั้นก็มาเก็บอีกหนึ่งเครื่องเล่นหวานแหวว “Mad Hatter Tea Cup” จากเรื่อง Alice in Wonderland อันโด่งดังนั่นเอง โดยเครื่องเล่นจะเป็นแก้วหมุนๆ ซึ่งผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเคยนั่งเครื่องเล่นแนวนี้มันเมื่อไหร่ ตอนแรกผมไม่คิดจะเล่นแล้ว เนื่องจากคิดว่ามันต้องเวียนหัวแน่นอน แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนลูกครับ โดนจัดไปเต็มๆ อีกสองรอบเพราะลูกมันส์เหลือเกิน
Mad Hatter Tea Cup :
สถานที่ : Fantasyland
ความสูงผู้เล่น : ไม่จำกัด
ช่วงอายุที่เหมาะสม : เด็กก่อนวัยเรียน เด็กอนุบาล เด็กโต วัยรุ่น เด็กโข่ง และทุกวัย
ปัจจัยความเสียว : หมุน
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/attractions/mad-hatter-tea-cups
มาถึงตรงนี้แทบหมดแรงแล้ว แต่ลูกชิวมากเพราะนั่งรถเข็นตลอด เห็นคิว “It’s a Small World!” โล่งมากจึงจัดไปอีกสองรอบอย่างโหดครับ เพราะตอนนี้ลูกเริ่มงอแงไม่อยากกลับเมืองไทยแล้ว ขอป๊ะป๋าอยู่ดิสนีย์ต่ออีกเดือนนึง เลยตามใจจัดเครื่องเล่นให้เต็มที่ตามคำขอ ผมจึงแอบถ่วงเวลาพักเบรคซื้อไอติมที่ “Small World Ice Cream” ทานซะเลย
Small World Ice Cream :
สถานที่ : Fantasyland
ประเภทอาหาร : อาหารทานเล่น
บริการ : ทานข้างทาง (บริการด้วยตนเอง)
เวลาเปิดให้บริการ : 11:30 am – 07:30 pm
ราคา : $ / ไม่เกิน HK$100
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/small-world-ice-cream


สุดท้ายก่อนอำลาดิสนีย์แลนด์จริงๆ ก็ตามธรรมเนียมครับ ช้อปปิ้งส่งท้ายกันที่ “Main Street Emporium” บริเวณ Main Street, U.S.A. ซึ่งเป็นร้านขายของที่ใหญ่สุด หากเดินกลับออกมาจะอยู่ที่ตึกด้านขวาตลอดแนวถนนสายหลักจากหัวไปท้ายเลยครับ แบบว่าขาช้อปคนไหนเดินเข้าและออกไปสุดทางโดยไม่ได้อะไรถือว่าใจแข็งทีเดียวครับ
Main Street Emporium :
สถานที่ : Main Street, U.S.A.
เวลาเปิดให้บริการ : 10:00 am – 09:00 pm
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.hongkongdisneyland.com/shops/emporium

ออกจากดิสนีย์แลนด์ก็รีบมุ่งหน้ากลับโรงแรมครับ เวลาเหลือไม่มากแต่ก็ไม่ถึงกับจวนเจียน พอเก็บของที่พึ่งซื้อมาใส่กระเป๋า แวะเข้าห้องน้ำสักครู่ก่อนขอพนักงานช่วยเรียก Taxi เพื่อเดินทางไปสนามบินครับ โดยขากลับ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าจะยอมไปเสียเวลานอนที่ดอนเมืองคืนนึงครับ แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับเชียงใหม่ หากใครเลือกเดินทางจากกรุงเทพนี่มีให้เลือกถึง 3 เที่ยวบิน (ต่อวัน) ซึ่งขากลับผมเลือกเที่ยวหัวค่ำ “FD 505” ซึ่งไม่ดึกหรือเร็วเกินไปครับ
รายละเอียดเที่ยวบิน :
FD 0508 : DMK-HKG / 0635-1015 — Duration : 2h 40m
FD 0504 : DMK-HKG / 1535-1920 — Duration : 2h 45m
FD 0502 : DMK-HKG / 1720-2115 — Duration : 2h 45mFD 0509 : HKG-DMK / 1045-1230 — Duration : 2h 45m
FD 0505 : HKG-DMK / 1950-2140 — Duration : 2h 50m
FD 0503 : HKG-DMK / 2135-2320 — Duration : 2h 45m

ระหว่างบนเครื่องขากลับผมก็ได้สั่งอาหารล่วงหน้าเหมือนตอนมาครับ เป็นลาซานญ่าอร่อยมาก เสียดายเปิดมาได้น้อยไปนิดไม่เหมือนที่เห็นในรูป ปริมาณน่าเบิ้ลมากเลย ส่วนลูกผมก็อร่อยกับอาหารชุดเด็ก ซึ่งเป็นมักโรนีมาพร้อมกับไมโล แอบชิมรสชาติก็อร่อยไม่แพ้กันครับ




ค้างคืนอยู่ข้างสนามบินคืนนึง แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ต่อเครื่องแอร์เอเชียกลับเชียงใหม่ครับ เป็นอีกทริปที่ประทับใจและจบลงด้วยดี หากมีโอกาสคงต้องกลับไปเที่ยว Hong Kong Disneyland อีกแน่นอน เพราะลูกชายติดใจมากจนแทบไม่อยากกลับเลย
(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
เป็นรีวิวดีสนีย์ที่สุดยอดเลย เยี่ยมมาก
LikeLike