กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “Hong Kong Disneyland”
— วันที่ 2 : ตะลุย 7 ดินแดนมหัศจรรย์ —
มาถึงวันที่สองแล้วนะครับ พวกเราจะอยู่กันเต็มวันภายใน Hong Kong Disneyland เลย หลังจากเมื่อวานได้ชมพาเหรดกันอย่างเต็มอิ่ม วันนี้เราจะพาตะลุยเครื่องเล่นต่างๆ และเดินให้ครบทั้ง 7 โซน โดยมีไฮไลท์ส่งท้ายค่ำคืนนี้เป็นพลุชุดใหญ่ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
สำหรับ Hong Kong Disneyland ตอนเปิดครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2005 เมื่อเวลาบ่ายโมงตรง ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีเพียง 4 โซน ได้แก่ “Main Street, U.S.A.” เหมือน Disneyland ที่เมกา คือ ออกแบบตึกสองฟากถนนทางเดินให้เหมือน Midwest Town ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 เป็นร้านรวงขายของที่ระลึกและร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาก็จะเจอเลยครับ ถัดมาเป็น “Adventureland” ที่จะให้อารมณ์ผจญภัยในป่า ต่อด้วย “Fantasyland” ที่จะเหมือนเราหลุดไปในโลกแห่งนิยาย และมีสถานที่ต่างๆ จากหนังและการ์ตูนของ Disney ปิดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยกับ “Tomorrowland” ที่จะพาเราหลุดไปในโลกอนาคต
จากตรงนี้เหมือนจะไม่ค่อยสะใจเต็มอิ่ม และเครื่องเล่นก็มีไม่ค่อยหลากหลายนัก แต่ระหว่างนั้นก็มีการเพิ่มเครื่องเล่นขึ้นเรื่อยมา เช่น “it’s a small world” ซึ่งตอนแรกผมข้องใจว่าไม่มีได้ยังไง (เปิดให้บริการเมื่อ 28 เมษายน 2008) ในส่วนขยายของ Fantasy land และหลายปีผ่านไป ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2009 ทางผู้บริหารระดับสูงของ Hong Kong Disneyland ได้ออกมาประกาศขยายและเพิ่มดินแดนใหม่ขึ้นอีก 3 โซน อยู่นอกแนวรางรถไฟ “Disneyland Railroad Track” (อย่างที่บอกว่าช่วงผมไปนี่ปิดให้บริการระหว่างที่ขยายเครื่องเล่นใหม่ “Iron Man Experience”) ซึ่งผมไม่ได้ตามข่าวจนมาทราบว่าได้ขยายก็ตอนมาทริปนี้ล่ะครับ
และแล้วเวลาที่รอคอยมาถึง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2011 ก็ได้มีการเปิดโซนใหม่อันแรก “Toy Story Land” ขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเน้นตาม “Toy Story” ซึ่งเป็น Animation ดังจาก “Disney-Pixar Film” นั่นเอง และปีถัดมากก็ถึงคิว “Grizzly Gulch” ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2012 เป็นอีกโซนที่ผมชอบเครื่องเล่นมาก เหมือนกำลังเดินอยู่ในเหมืองโบราณ และล่าสุด “Mystic Point” ดินแดนลึกลับที่เต็มไปด้วยเรื่องราวพิศวง ก็เปิดให้บริการ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2013 ครับ
ถึงแม้ว่ามาถึงตรงนี้เครื่องเล่นก็ไม่ถึงกับเยอะเท่า Disneyland ที่อื่น แต่ส่วนขยายก็เติมเต็มหลายสิ่งใน Hong Kong Disneyland ให้สมบูรณ์ขึ้นกว่าตอนเปิดใหม่ๆ หากว่าไปแล้วก็ถือว่ากำลังดีสำหรับการเข้ามาเยือน ซึ่งโปรแกรมก็คงไม่อัดแน่นจนเกินไปสำหรับทัวร์หนึ่งวันเต็ม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ
“ผักกาด ผักกาด” ก่อนจะเข้าไปอ่านในส่วนเนื้อหาซึ่งมีเนื้อเรื่องเยอะๆ หากใครไม่เน้นตัวหนังสือหรือเห็นรูปแล้วมันเล็กไม่สะใจ แนะนำว่าเลื่อนข้ามลงไปด้านล่างสุดของตอนนี้ได้เลยครับ ผมจะรวมรูปเป็น Gallery ให้คลิ๊กเข้าไปชมได้ ณ บัดนาว เหมาะมากสำหรับคนมีเวลาจำกัดแล้วชอบดูเพียงรูปกับคำบรรยายสั้นๆ เป็นส่วนใหญ่

เข้าสู่วันที่สองของทริป Hong Kong Disneyland นะครับ เช้านี้พวกเราจะข้ามฟากไปทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเจ้าหญิง Hong Kong Disneyland Hotel ซึ่งแวะทานติ่มซำมื้อเที่ยงวันแรกกัน ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องไปทานอีกโรงแรม น่าจะทานในโรงแรมที่เราพักก็ได้เพราะห้องอาหารด้านล่างก็ไม่เต็ม พอไปถึงจึงทราบว่าเช้านี้เรามีนัดกับ “Mickey Mouse & Friends” นั่นเอง เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ “Character Dining” ที่เคยเป็นความฝันมานานแล้วในวัยเด็ก ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ Mickey ได้ขนาดนี้บนโต๊ะอาหาร โดยเราจะไปเจอที่ “Enchanted Garden Restaurant” ในห้องอาหารสไตล์ Victorian โดยระหว่างที่เรานั่งทานอาหาร เหล่า Mickey และผองเพื่อนก็จะผลัดกันมาแวะเวียนขอถ่ายรูปคู่กับพวกเรา เคยแต่สมัยที่ไปเที่ยว Disneyland ที่เมกา กว่าจะไปขอถ่ายรูปคู่กับ Mickey นี่ช่างยากเย็นแสนเข็ญ ต้องเข้าคิวเกือบชั่วโมงเพื่อเข้าบ้าน Mickey ไปขอถ่ายรูปด้วยแค่แช๊ะเดียว อันนี้ก็ระหว่างรอก็นั่งทานอาหารไป เดี๋ยวตัวละครต่างๆ ก็จะเดินมาให้ถ่ายรูปคู่ถึงโต๊ะเลย (ซำบายกว่าเยอะ)
ไลน์อาหารก็หลากหลายมากมายพอสมควรทีเดียวครับ รับประกันไม่มีอดอยาก เลือกได้อย่างหลากหลาย
อาหารทุกอย่างก็จะมีเติมเรื่อยๆ ไม่ให้ขาด ผมเดินไปตักอยู่หลายรอบเหมือนกันครับ ชอบซุ้มแซลมอนกับติ่มซำเลยกลับไปบ่อย ส่วนขนมที่เป็น Mickey Mouse นี่ผมสังหารไปหลายตัวเลย (โทษฐานที่ทำมาน่ารักเกินไป)

ระหว่างทานอาหารก็จะมีตัวละคร Mickey และผองเพื่อนเดินมาแวะทักทายให้ถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ สลับกันไปมาระหว่างโต๊ะ ไม่ต้องแย่งกันเลยเพราะจะมาบริการให้ถึงที่พร้อมกับตากล้อง


เป็นอาหารเช้าที่แสนประทับใจครับ ขนาดผมพึ่งพ้นวัยรุ่นหมาดๆ (ช่วงปลาย) ยังรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขขนาดนี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าครั้งหนึ่งต้องหาโอกาสพาลูกชายมาทานอาหารเช้านี่บ้างสักมื้อ จะได้กระทบไหล่คนดังขวัญใจตลอดกาลสำหรับเด็กทุกสมัย ระหว่างออกไปเดินตักอาหารต้องคอยมองกลับมาที่โต๊ะว่ามีตัวละครไหนเดินเฉียดมาไหม จะได้รีบวิ่งกลับไปขอกอดและถ่ายรูปด้วย


หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จก็รอเวลาสักพักก่อนที่สวนสนุกจะเปิด (สิบโมงครึ่ง) ก็เลยสำรวจบริเวณสวนด้านหลังโรงแรม เขาจะทำเป็นเขาวงกตให้เด็กน้อยมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานด้วย ถ้าเอาจริงจังคงใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหลุดออกมาได้ ตรงนี้ต้องมีผู้ใหญ่มาอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายเพราะหาทางออกไม่ได้
พอใกล้ถึงเวลาเปิด พวกเราก็ไปรอรถ Shuttle Bus หน้าโรงแรมเหมือนเมื่อวานครับ พอไปถึงคนก็เริ่มทะยอยกันเข้า Disneyland ระหว่างทางก็ต้องเดินกันไกลเช่นเคย (บ่นทุกวัน) กว่าจะถึงทางเข้า แต่ถ้าอีกหน่อยเขาสร้างพวกร้านรวงบริเวณสองข้างทางคงจะเพลินใจกว่านี้แน่นอน อย่างที่เมกาก็จะทำเป็น Downtown Disney District เป็นเหมือน promenade ที่รวมทุกอย่างไม่ว่าร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ที่ทานอาหาร อะไรประมาณนี้ ส่วนตัวคาดว่าอนาคตก็คงเตรียมไว้เผื่อขยายแบบนี้ด้วย ทางเดินจากจุดจอดรถไปยังข้างในถึงได้ไกลซะขนาดนี้ครับ แค่เดินไปทางเข้าก็ตัดกำลังอย่างมากมายล่ะ

หลังจากที่เมื่อวานพวกเราได้ไปเล่นเครื่องเล่นในหลายๆ โซนแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาเก็บจนครบ วันนี้ก็จะทะยอยเน้นเครื่องเล่นสำคัญเก็บพวกไฮไลท์ให้ครบเลยครับ ตอนแรกก็เดินกันไปด้วยกันเพราะบางส่วนอยากถ่ายรูปกับตัวละครจาก “Frozen” — “Queen Elsa & Princess Anna Meet and Greet” ซึ่งมีช่วงที่ผมไปพอดี เป็นกิจกรรมพิเศษช่วง “Sparkling Christmas” หมดไปเมื่อต้นมกราคมที่ผ่านมาหลังจบเทศกาลปีใหม่ — แถวๆ ด้านหลัง “Sleeping Beauty Castle” หรือที่รู้จักกันว่า “ปราสาทเทพนิยาย” บริเวณ Fantasyland ที่เป็นสัญลักษณ์อีกอันของ Disneyland และหนังของ Disney ต่างๆ แต่อย่าเสียใจไปครับ ยังมีตัวละครในเครืออีกหลายอย่างให้แวะทักทายและสามารถไปเข้าแถวถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด ได้แก่ Mickey และผองเพื่อน รวมไปถึงเจ้าหญิงและนางเอกจากนิทานเทพนิยายต่างๆ — รายละเอียดและสถานที่ตามนี้เลย http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/#/character-experience/ — ยังไงก็ตาม หวังว่าในอนาคตเขาจะนำราชินีน้ำแข็งกลับมาอีกรอบครับ เพราะเป็น animation เรื่องที่แม้จะฉายไปเป็นปีแต่ก็ยังคงกระแสความนิยมไม่เสื่อมคลายโดยเฉพาะจากเด็กผู้หญิง

ถึงตรงนี้ผมกับน้องอีกคนจึงขอแยกทางไปชม “Stage Shows” ดีกว่า ซึ่งช่วงที่ผมไปมีอยู่สามโชว์ โดยผมขอจัดอันที่ยอดนิยมอันแรก “The Golden Mickeys” จากแผนที่ก็จะอยู่ส่วนลึกด้านในของ Fantasyland ที่ “Disney’s Storybook Theater” — http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/golden-mickeys-in-storybook-theater/ — ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่จะเสียเวลาเข้าคิวรอซะมากกว่า แล้วเวลาจะเลือกที่นั่งดีๆ เพื่อถ่ายรูปก็อยู่แถวกลางๆ ถ้าไม่อยากรบกวนใครก็เอาหลังสุดแล้วค่อยซูมเอา ตอนถ่ายผมก็รวดยืนไปเลยเพราะไม่มีใครอยู่ด้านหลังแล้วครับ
การแสดงก็จะอารมณ์ประมาณงานแจกรางวัลออสการ์กับ animation ต่างๆ ของดิสนีย์ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วก็ประสมประสานกับการแสดงสไตล์ Broadway ตัดเอาเป็นช่วงสั้นๆ ของแต่ละเรื่องมาแสดง จะมีหนังเข้าชิงรางวัลมากมาย ตรงนี้จะคุ้มมากเพราะมีโอกาสได้เจอตัวละครจากเรื่องต่างๆ แทบครบหมดเลยครับ การแสดงก็จะมีเพลงเพราะๆ ที่ติดหูให้ฟังไปพร้อมกับการแสดง ซึ่งใช้ effect อลังการงานสร้าง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในงานมอบรางวัลไปด้วย โดยหลักก็จะพยายามคัดเรื่องที่โด่งดังและมีเพลงเพราะติดหูมาแสดง ไม่ว่าจะเป็น “Toy Story” เรื่องโปรดของผม หรือแม้แต่ “Beauty and the Beast” ที่เพลงเพราะมาก เป็นอีกอันที่แนะนำว่าอย่าพลาด ก็สามารถเช็คเวลารอบแสดงได้จากแผ่นพับที่เขาแจกครับ แนะนำว่าให้ไปรอก่อนการแสดงอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงครับ

ระหว่างที่ชมโชว์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเพลินไปกับการแสดงและเพลงที่เพราะติดหูมาตั้งแต่เด็ก อันนี้ถ้าพาลูกไปคงต้องหาแผ่นเก่ามาไล่เปิดให้ซึมซับเรื่องราวบ้างล่ะครับ การแสดงโชว์แต่ละเรื่องก็จะเลือกไฮไลท์ตอนสำคัญมา หรือไม่ก็ออกมาเต้นสนุกๆ น่ะครับ ก็เล่ารายละเอียดคร่าวๆ ประมาณนี้ละกัน ยังไงถ้ามีโอกาสก็ลองไปชมด้วยครับ

จบการแสดงแล้ว กะว่าจะไปต่ออีกเรื่องที่ห้ามพลาด (แต่ดันไม่ได้ดูครับ) ก็คือ “Festival of the Lion King” ซึ่งอยู่ที่ “Theater in the Wild” บริเวณ Adventureland — http://www.hongkongdisneyland.com/entertainment/festival-of-the-lion-king/ — เป็นโชว์จาก animation ที่เคยดังมานานแล้ว เพลงก็เพราะด้วย เป็นอีกรายการที่เสียดายมากเนื่องจากกะตารางผิดเล็กน้อยก็เลยวืดไปครับ ผมชอบเจ้า Simba ลูกสิงโต ตอนหลังเติบใหญ่กลายเป็นเจ้าป่า ที่สำคัญเพลงประกอบ animation เรื่องนี้เพราะฝุดๆ คาดว่าหลายคนอาจเกิดไม่ทันครับ

เสร็จจากโชว์แรกก็ใกล้เวลานัดทานอาหารเที่ยงครับ แต่ดูแล้วยังพอมีเวลาเพราะเครื่องเล่นข้างๆ ดูเวลารอคิวไม่น่านาน “it’s a small world” เป็นอีกอันที่ต้องมีในทุก Disneyland เลยครับ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไปเล่นครั้งแรกที่ Tokyo Disneyland แล้วฟินมาก ด้านนอกจะเป็นนาฬิกาที่พอครบทุก 15 นาที จะมีหุ่นออกมาเต้นระบำครับ

อันนี้เป็นเครื่องเล่นที่เหมาะกับทุกเพศและวัย เน้นสบายๆ ไม่มีเสียว จะนั่งเรือ gondola เข้าไป ด้านในจะเหมือนย่อโลกทั้งใบมาไว้ในนี้ครับ โดยจะมีตุ๊กตาและฉากสีสันหวานและสดใสปนกันไป ตั้งแต่ผมไป Disneyland มาสี่แห่ง ที่นี่จะค่อนข้างสวยสุด เพราะสร้างขึ้นทีหลังชาวบ้านครับ จะค่อนข้างหลากหลายและดูโมเดิร์นกว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า Disneyland อื่นได้ปรับปรุงโละใหม่ให้สวยเหมือนที่นี่รึเปล่านะครับ ระหว่างที่นั่งก็จะมีเพลงเพราะๆ ที่ติดหูทุกคนแน่นอน ช่วงท้ายๆ เป็นเอเซียก็จะมีของไทยด้วยนะครับ ต้องลองดูให้ดีๆ
พอเสร็จก็จวนเจียนเวลานัดมาก ก็เลยรีบตามไปสมทบเป็นคู่สุดท้าย (ชาวสมาชิกไปนั่งรอกันหมดแล้ว) มื้อนี้เราจะทานกันที่สุดปลายถนนบริเวณโซน Main Street, U.S.A. ที่ร้าน “Plaza Inn” — http://www.hongkongdisneyland.com/dining/hong-kong-disneyland-park/plaza-inn/ — ให้บริการอาหารจีนกวางตุ้ง
เป็นอีกมื้อที่อร่อยและอิ่มมาก เปิดตัวกันด้วยเป็ดย่างและหมูแดงมาพร้อมกับแมงกะพรุนของโปรดอีกแย้ว จากนั้นก็ติ่มซำหลากชนิดครับ อารมณ์ก็โช้งเช้งหน่อยอร่อยดี ด้วยความเป็น Hong Kong Disneyland จึงเป็นจุดเด่นที่มีห้องอาหารจีนเต็มรูปแบบอย่างนี้ เท่าที่ไป Disneyland อื่นมาก็ไม่เจอนะครับ (ถ้าจำไม่ผิด)
ป.ล. อยากบอกว่าเป็ดย่างกับน่องไก่อร่อยมากเลย

ทานข้าวเสร็จใหม่ๆ ก็ออกไปเล่นเสียวกันเลยครับ “Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars” ที่โซนใหม่ โดยเครื่องเล่นนี้เปิดมาประมาณสองปีเอง อันนี้เล่นเมื่อวานไปสามรอบ วันนี้เข้ารอบพิเศษมีคนนำไม่ต้องต่อแถวนานเลยจัดไปอีกสองครับ รวมเบ็ดเสร็จห้ารอบยังไม่ค่อยหนำใจเลย ดังนั้นห้ามพลาดเด็ดขาด ปกติคิวจะค่อนข้างยาวโดยเฉพาะตอนกลางวัน ยกเว้นเวลามีแสดงโชว์จะเป็นโอกาสทองแถวจะสั้นและไม่เสียเวลารอคิวมากครับ

ความสนุกนี่ส่วนตัวผมให้เป็นอันดับหนึ่งในทริปนี้เลยครับ เพราะทั้งเร็วและเสียวพอเหมาะ เล่นครั้งแรกนี่มือเปียกเหงื่อเพราะลุ้นมากว่าจะเป็นยังไง แต่พอรอบหลังๆ นี่จะรู้ทางแล้วครับ ใครชอบเครื่องเล่นสไตล์ Roller Coaster นี่แนะนำอย่างแรง อารมณ์ประมาณนั่งรถเหมืองเข้าไปผจญภัยในดินแดนตะวันตกถิ่นคาวบอยครับ …..
หลังจากเล่นเสร็จ อารมณ์ประมาณ “Big Thunder Mountain Railroad” — http://disneyland.disney.go.com/attractions/disneyland/big-thunder-mountain-railroad/ — ของ Disneyland อื่นครับ แต่อันนี้เสียวและสนุกกว่าเพราะมีถอยหลังด้วย

เสร็จจากเครื่องเล่นสนุกๆ กับพี่หมี คราวนี้ก็มาเจอกับน้องลิงที่เครื่องเล่นใหม่ล่าสุด “Mystic Manner” ที่ดินแดนพิศวง Mystic Point ส่วนขยายล่าสุดของ Hong Kong Disneyland เป็น “โซนอันดับ 7” เปิดบริการเมื่อ 17 พฤษภาคม 2513 นี้เองครับ




เรื่องราวก็เกี่ยวกับการผจญภัยในคฤหาสน์ลึกลับโดยเราเป็นแขกผู้ได้รับเชิญไปเยือนพิพิธภัณฑ์ภายในคฤหาสน์ส่วนตัวของ Lord Henry ซึ่งเป็นนักเดินทางและผจญภัยไปทั่วโลก สะสมของมีค่าและแปลกประหลาดมากมาย สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดว่าเป็นระดับแนวหน้าของโลก เวลาชมโดยรอบจะมีรถเลื่อนรุ่นล่าสุดแบบไม่มีราง “Mystic Magneto-Electric Carriage” ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กและไฟฟ้าเป็นตัวลากไปตามเส้นทาง สำหรับ Lord Henry จะมี Albert เป็นลิงที่ซื่อสัตย์และรู้ใจอยู่เคียงข้างเวลาออกเดินทางไปผจญภัยทั่วโลก ซึ่งเขาได้ช่วยเจ้าจ๋อที่กำลังติดอยู่ในใยแมงมุมยักษ์ในป่าลึกและพากลับมาด้วย
สำหรับการผจญภัยของพวกเราในครั้งนี้เริ่มจากเจ้าลิงน้อยจอมซน กับของสะสมชิ้นสำคัญ คือ กล่องดนตรีแกะสลักอันงดงามจากชนเผ่าบาหลี (Baliness) ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อเปิดกล่องนี้ออกจะมีละอองดนตรี (Music Dust) พวยพุ่งออกมาทำให้ของต่างๆ ถูกปลุกขึ้นมาให้เคลื่อนไหวและมีชีวิตได้ แน่นอนครับ เรื่องราวเกิดจากความซนของ Albert ที่ไม่เชื่อคำเตือนของ Lord Henry ที่ห้ามยุ่งกับกล่องนี้เด็ดขาด และระหว่างที่พวกเรากำลังจะเริ่มชมของสะสมแปลกๆ จากทั่วโลกในพิพิธภัณฑ์ Mystic Manner ก็เกิดเรื่องตื่นเต้นขึ้นจนได้ภายหลังจากที่กล่องดนตรีนี้ได้ถูกเปิดออกมา
ระหว่างทางพวกเราก็จะนั่งรถลากรุ่นล่าสุดไปตามเส้นทางที่ระบุผ่านห้องต่างๆ ที่ของสะสมกลายเป็นของมีชีวิตขึ้นมาครับ อย่างนี้ก็ถึงเวลาจะพิสูจน์ว่าความพิศวงของละอองฝุ่นที่หลุดออกมาจากกล่องดนตรีนี้จะมีจริงหรือไม่ ต้องขอบคุณสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดโดย Lord Henry ที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเดินชม นั่งรถ Mystic Magneto-Electric Carriage แบบชิวๆ ได้เลย หากมากลุ่มใหญ่ก็รองรับได้ถึงหกคนต่อหนึ่งคัน เดี๋ยวใครมีโอกาสก็ต้องแวะมาลองนะครับว่าพวกเราและน้องลิงจะรอดจากการผจญภัยนี้ได้อย่างไร
สำหรับเครื่องเล่นอันนี้ทำให้ผมนึกถึง “Haunted Mansion” ของ Disneyland ที่อื่น ตอนแรกผมนึกว่าจะน่ากลัวออกแนวบ้านผีสิง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คือ นั่งรถเลื่อนเข้าไปในความมืดดูลึกลับเหมือนกัน และภายในก็จะมีการใช้แสงสีและเทคนิคตระการตา ดังนั้นคนที่เคยเล่นบ้านผีสิงมาแล้วก็บอกได้เลยว่าคนละอารมณ์กันเลย คาดว่าเขาคงเอามาแทนกัน เพราะที่นี่ไม่มี Haunted Mansion นั่นเอง สุดท้ายเลยกลายเป็นจุดขายของ Hong Kong Disneyland เพราะถ้าใครอยากลอง ตอนนี้ก็มีเพียงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้นครับ ไม่สามารถเล่นได้ที่ Disneyland แห่งอื่นเลย


หัวหน้าทีมพวกเราก็ปล่อยให้พวกเราเดินเลือกของกันพอสมควร เห็นแล้วอยากสอยมาเก็บไว้บ้าง ไม่ว่าเสื้อเรืองแสงหรือของฝากต่างๆ ไปให้ลูกชายที่บ้าน แต่เพื่อความสะดวกเพราะมีกล้องตัวใหญ่ต้องรับผิดชอบพร้อมขาตั้งที่เตรียมมาถ่ายพลุตอนเย็น ก็เลยอดใจไว้ยังไม่กล้าซื้ออะไรนัก เก็บไว้เก็บช่วงเย็นตรง Main Street, U.S.A. ช่วงเย็น แล้วก็มีเวลาพรุ่งนี้อีกเกือบเต็มวัน แต่หลังจากสำรวจร้านด้านนอก ของบางอย่างจาก The Archive Shop ที่ Mystic Point ก็ไม่สามารถหาได้ข้างนอก แนะนำว่าของบางอย่างถ้าถูกใจก็ทะยอยซื้อเก็บไปก่อนดีกว่า

ถัดจาก “Mystic Point” ก็จะถึงยัง “Toy Story Land” ซึ่งเป็นโซนสุดท้ายที่ผมจะสำรวจ เป็นหนึ่งในสามดินแดนที่เปิดขยายเพิ่มเติมหลังจาก Hong Kong Disneyland ได้เปิดในตอนแรก เป็นการย่อโลกของเล่นจาก “Toy Story” มาในโซนนี้ มีของเล่นสนุกมากมายครับ เป็นอีกโซนที่ชอบเพราะเป็น animation เรื่องโปรดเลย

“Toy Soldier Parachute Drop” อันนี้จะค่อนข้างธรรมดาสำหรับบางคน แต่สำหรับผมจะแพ้ทางค่อนข้างเสียวกันอันนี้ครับ เพราะว่าเวลานั่งจะห้อยขาต่องแต่งอยู่ใต้ร่มของเล่น แล้วก็ดึงขึ้นลงไปมาอยู่นาน อันนี้เขาไม่ให้เอากล้องใหญ่ขึ้นไป คงเกรงว่าจะตกลงมาโดนคนข้างล่าง สรุปว่าใครกลัวความสูงก็ไม่ต้องเล่นได้ครับ ผมนี่หวิวท้องตลอดเลยอยากให้จบไวๆ

หากใครชอบเสียว “RC Racer” ตอบโจทย์แน่นอน เหมือนเล่นเรือไวกิ้งบ้านเราครับ แต่อันนี้เร็วและหนุกกว่า บางช่วงนี่ตอนขึ้นไปสูงสุดนี่ตัวลอยเลยทีเดียว ตอนขึ้นต้องเอาเหรียญเก็บไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจหลุดตกหายไปแน่นอน เป็นอีกอันที่ผมชอบเพราะเล่นซ้ำอยู่สามรอบเต็ม

เสร็จครบทุกอันแล้วก็ถึงคิวดูของฝากระหว่างรอเวลาไปอันอื่น เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักมีอะไรให้ถ่ายเล่นเต็มไปหมด ใครเป็นแฟน “Toy Story” รับรองว่าฟินไปเลย

จาก Toy Story Land เราไม่ต้องย้อนออกไปทางเดิม สามารถเดินต่อไปเรื่อยๆ จะโผล่ไปยัง Fantasyland ได้ ถึงตรงนี้ก็เก็บเครื่องเล่นสำคัญเกือบครบแล้ว ยกเว้นของเด็กน้อยบางอย่างที่ไม่ได้ไปลอง สมาชิกในกลุ่มก็เข้าไปต่อ “it’s a small world!” กันอีก นั่งเรือเฉยๆ ฟังเพลงก็ชิวครับ

ระหว่างนี้ไม่รู้ทำอะไรเพราะรอเวลาทานข้าวเย็นตามโปรแกรม นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ของฝากลูกชายเป็นชิ้นเป็นอัน เลยเดินล่วงหน้าสมาชิกไปรอแถว Main Street, U.S.A.
ที่หมายอาหารค่ำวันนี้จะอยู่ตรงต้นถนนเหมือนตอนกลางวัน (แต่คนละฟาก) ชื่อร้าน “Main Street Corner Cafe” ซึ่งจะเห็นขวด Coca-Cola ตั้งโชว์หน้าร้าน เพราะเป็น sponsor ให้ ปกติถ้าไม่ได้มากับกลุ่มพิเศษอย่างนี้จะไม่ค่อยมีโอกาสได้ลองทานร้านแบบนี้ มักจะกินง่ายๆ ตาม foodcourt เพราะราคาจะประหยัดกว่า ดีใจที่ได้มีโอกาสมาลองเมนูแปลกๆ แบบนี้ดูครับ สำหรับร้านนี้ อาหารบางอย่างจะมีการนำเอา Coke ไปผสมออกมาอย่างกลมกล่อม เสียดายผมไม่ทันได้ลองเพราะสั่งมาทีหลัง และผมต้องรีบไปจองที่ถ่ายพลุก็เลยอดครับ เห็นคนที่ได้ชิมก็บอกว่าอร่อยดี

ในระหว่างวันบนถนนสาย Main Street, U.S.A. ก็จะมีวงดุริยางค์ “Disneyland Band” คอยให้ความบันเทิงแก่ผู้คนแถวนั้นเป็นระยะ ส่วนมากก็จะเล่นเพลงของ Disney ที่คุ้นหู รวมไปถึงเพลงตามเทศกาลต่างๆ ประกอบกันไป อย่างช่วงที่ผมเที่ยวก็จะได้ยินเพลง Christmas และเพลง “Let It Go” ประกอบหนัง Frozen อันโด่งดัง ทำเอาเวลาเดินคึกคักเข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างดีทีเดียวครับ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็เดินไปหาของฝากให้ลูกก่อนระหว่างรอเพื่อนๆ วันนี้หมดไปเยอะเลยครับ แบบว่าเก็บกดมานานตั้งแต่วันแรก แอบได้เสื้อยืดให้ตัวเองกลับมาด้วย ตรงนี้ถ้าใครจิตใจไม่หนักแน่นรับรองเลยว่ากระเป๋าฉีกชัวร์
หลงแสงสีอยู่นาน ออกมาก็มืดแล้วล่ะครับ ถนนด้านนอกนี่จะเปิดไฟกลางคืนสวยมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลซึ่งมี Winter Theme อย่าง “A Sparkling Christmas” ตามเสาไฟก็จะประดับไฟเพิ่มเติม อย่างปีนี้ก็จะเป็นรูป Mickey Mouse

แล้วก็ได้ช่วงเวลาอาหารเย็นที่รอคอย เป็นอีกมื้อที่ประทับใจผมมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มที่น่ารักโดนใจฝุดๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่สีกระแทกใจมาก ชอบตรงที่มีไฟลอยอยู่ในแก้วด้วย ซึ่งจริงแล้วเป็นก้อนน้ำแข็งเทียมที่เมื่อโดนน้ำแล้วมันจะสว่างขึ้นมา เป็นนวัตกรรมที่ตื่นตาตื่นใจมากครับ
สำหรับไฮไลท์สุดท้ายประจำวันจะอยู่ที่การแสดง “Disney in the Stars Fireworks” ที่บริเวณปราสาทเทพนิยายครับ อันนี้ผมต้องไปรอล่วงหน้าอยู่เป็นชั่วโมงยังไม่ได้แถวหน้าเลย ความจริงต้องไปทันทีตั้งแต่พาเหรดจบ และต้องเล็งไว้ล่วงหน้าแต่แรกด้วยครับ เพื่อที่ว่าสามารถถ่ายรูปได้โดยไม่ติดหัวชาวบ้าน แต่หากไม่ซีเรียสมากเรื่องถ่ายรูป ผมว่าก็สามารถเห็นได้โดยรอบล่ะครับ อย่างผมนี่นั่งรอจนตะคริวกินขาเลยเพราะว่าที่แคบและขยับไม่ค่อยได้ เพราะมีแต่คนล้อมรอบเต็มไปหมด
เป็นอีกหนึ่งโชว์ที่จบอย่างประทับใจครับ เป็นครั้งแรกของผมเลย เพราะปกติเวลาไป Disneyland ที่อื่นพอมืดก็รีบหาอะไรทานแล้วกลับ มาถึงตรงนี้บอกเลยว่าเสียดาย เนื่องจากเพลงแสงสีอลังสมใจคุ้มค่ารอจริงๆ แต่ถ้าวันไหนฝนตกก็เงิบนะครับ (จะไม่มีการแสดง)
หลังจากโชว์เสร็จผมก็ยังไม่ได้กลับทันที ขอเดินไล่เก็บไฟกลางคืนของปราสาทเทพนิยายแป๊บนึง แต่เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเก็บขยะกินแดนมาเรื่อยๆ พร้อมกับกั้นรั้วไม่ให้ออกไปเกิน Main Street, U.S.A. เพราะว่าใกล้เวลาสวนสนุกปิดเต็มแก่ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่อยู่จนปิดครับ (สองทุ่มครึ่ง) แบบว่าอยู่คุ้มค่าตั๋วมากๆ
แต่ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวเหลืออยู่บ้างโหลงเหลง ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชอบถ่ายรูปครับ เดินไปเรื่อยเหมือนอย่างผม
บริเวณถนนสายหลักตอนก่อนกลับก็จะมีจะมีหิมะเทียมโปรยปรายมาด้วย ไม่ต้องพึ่งเกลือบริสุทธิ์เหมือนบ้านเราครับ ดูแล้วน่าจะเป็นโฟมหรือฟองสบู่อะไรสักอย่าง แต่ลึกๆ ก็แอบเสียวว่ากล้องจะเป็นอะไรเหมือนกัน เนื่องจากว่าโดนไปหลายแหมะอยู่ครับ บรรยากาศท่ามกลางหิมะเทียมฟินจนมัวถ่ายรูปไม่ได้กลับกันสักที คณะเราที่เหลืออยู่ประมาณหกคนนี่เพลินกันมากครับ เอาเป็นว่าวันนี้ขอจบแต่เพียงเท่านี้ละกันครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ “Hong Kong Fanclub” แหล่งรวมข้อมูลแบบเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องกง โดย “ลุงเด้งและป้าไก่” และ “Thai Air Asia” ที่ชวนมาเป็นส่วนหนึ่งของทริปนี้ด้วยครับ
Millions thanks to “Hong Kong Disneyland” for this wonderful trip. And special thanks to “Rae”, my loveliest new friend for a warm welcome during the magical time in Disneyland.
(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
One thought on “Once Upon a Time at “Hong Kong Disneyland” ~ Day 02 : 7 Magical Lands”