กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ “Hong Kong Disneyland”
— วันที่ 1 : มหัศจรรย์สีสันแห่งพาเหรด
“สวัสดีครับ” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองเขียนเรื่องราวบนนี้เลยครับ (แอบตื่นเต้น) ปกติจะลงตามเว็บบอร์ดมาตลอด คิดมานานแล้วว่าจะนำมารวบรวมเก็บไว้ จนได้ฤกษ์กับทริปสุดประทับใจส่งท้ายปีนี้เอง เสียเวลางมโข่งเกี่ยวกับการเขียนบล็อกอยู่หลายวันกว่าจะเป็นอย่างที่เห็นครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลากลับมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
แต่ก่อนอื่นคงต้องขอบคุณ “Hong Kong Fanclub” แหล่งรวมข้อมูลแบบเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับฮ่องกง โดย “ลุงเด้งและป้าไก่” และ “Thai Air Asia” ที่ชวนมาเป็นส่วนหนึ่งของทริปนี้ด้วยครับ
Millions thanks to “Hong Kong Disneyland” for this wonderful trip. And special thanks to “Rae”, my loveliest new friend for a warm welcome during the magical time at Disneyland Resort.
สำหรับทริปฮ่องกงนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างฉุกละหุกเล็กน้อย ตอนแรกมีเรื่องสำคัญที่เกือบทำให้พลาดทริปแห่งปี ซึ่งโชคดีมากที่เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยจึงมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้ เป็นทริปที่เดินทางไปพร้อมกับทีมสื่อ (Familiarlization Trip หรือ FAM Trip) ของ “Hong Kong Disneyland” ที่เป็น Winter Theme ต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาวที่กำลังมาถึง “A Sparkling Christmas” (เริ่มตั้งแต่วันที่เราไปถึง 13 พฤศจิกายน เป็นวันแรกเลย มีไปจนถึง 4 มกราคม ต้นปีหน้า) พร้อมกับพาเหรดชุดพิเศษใหม่ล่าสุด “Disney Paint the Night” รวมถึงเปิดตัว campaign ใหม่ “100 Choices of Winter Fun” เพื่อสานต่อความสำเร็จจาก “100 Choices of Fun” ที่เริ่มตอนมิถุนายนที่ผ่านมา
“ผักกาด ผักกาด” ก่อนจะเข้าไปอ่านในส่วนเนื้อหาซึ่งมีเนื้อเรื่องเยอะๆ หากใครไม่เน้นตัวหนังสือหรือเห็นรูปแล้วมันเล็กไม่สะใจ แนะนำว่าเลื่อนข้ามลงไปด้านล่างสุดของตอนนี้ได้เลยครับ ผมจะรวมรูปเป็น Gallery ให้คลิ๊กเข้าไปชมได้ ณ บัดนาว เหมาะมากสำหรับคนมีเวลาจำกัดแล้วชอบดูเพียงรูปกับคำบรรยายสั้นๆ เป็นส่วนใหญ่

หลายคนเมื่อพูดถึงฮ่องกง น่าจะมุ่งไปยังแหล่งอาหารจีนอร่อยๆ หรือว่าซื้อข้าวของเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรือเครื่องไฟฟ้าราคาถูก แต่ไม่ใช่สำหรับงานนี้เลย เพราะผมจะพาไปตะลุยยังดินแดนแห่งเวทมนตร์ “Hong Kong Disneyland” ล้วนๆ แบบว่าจุใจสามวันไปเลย โดยทีมพวกเราก็จะมีสมาชิกมาจากหลากหลายวงการ เช่น นักเขียนแนวครอบครัว (พี่ก๊อกและครอบครัวสุดน่ารัก) คุณแอ้จากหนังสือสุดสัปดาห์ น้องพลอยแนวแฟชั่นพร้อมทีมงานรู้ใจส่วนตัว จูนเป็นนักเขียนท่องเที่ยวขาลุยสไตล์แบกเป้ น้องทรายกับน้องตูนน์ด้านความงาม ส่วนผมเน้นหล่ออย่างเดียว (เห็นมีด้านความงามแล้วนิ) และก็ลุงเด้งกับป้าไก่ผู้รอบรู้ฮ่องกงจาก “Hong Kong Fanclub” พร้อมกับคุณเอจากแอร์เอเชียคอยช่วยประสานงานต่างๆ

ทีมพวกเราจะเริ่มต้นออกเดินทางกันจากดอนเมือง โดยมีผมซึ่งเป็นเด็กดอยแต่เพียงคนเดียวแยกวงขึ้นเครื่องจากเชียงใหม่ พึ่งนึกได้ว่ามีบินตรง “CNX-HKG” ไปยังฮ่องกงด้วย อันนี้แนะนำเลยสำหรับคนเชียงใหม่ บินตรงสะดวกฝุดๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อเครื่องถึงกรุงเทพให้วุ่นวายและก็ค้างแรมอีก ตอนแรกเกือบบินไปลงกรุงเทพก่อนแล้ว โชคดีที่มีเที่ยวบินออกแต่เช้าตรู่ (ก่อนกรุงเทพประมาณครึ่งชั่วโมงและถึงก่อนอีกด้วย)

เช้านี้นอนน้อยมาก นอนเที่ยงคืนกว่าแล้วแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตีสาม เพราะว่าบินเที่ยวแรก “FD-515” เครื่องออกตอนหกโมงเช้า ต้องมาเช็คอินก่อนสองชั่วโมง แต่กว่าเจ้าหน้าที่จะมาทำงานก็ราวเกือบตีห้าเลย เสียเวลานั่งรออยู่เป็นชั่วโมงเหมือนกันกว่าจะได้เข้าไปในห้องพักผู้โดยสารขาออก ยังไงก็ตามมาเร็วเป็นคิวที่หนึ่งครับ เลยนั่งพื้นกรอกเอกสารจองที่ตรงหน้าประตู (ลุกแล้วเสียม้าแน่นอน) ทริปนี้ผมขอที่นั่งริมหน้าต่างล่วงหน้าครับ เพราะชอบถ่ายรูปวิวจากหน้าต่างอยู่แล้ว แต่ข้อเสียก็ลุกไปไหนไม่สะดวกเลย จะคอยเกรงใจคนที่นั่งอยู่ริมทางเดินครับ ยิ่งคู่ที่นั่งข้างผมนี่หวานกันตลอดการเดินทาง เวลาอยากเข้าห้องน้ำก็เกรงว่าจะขัดจังหวะด้วย

เห็นวิวแบบนี้ก็คุ้มแล้วครับ ฟ้าใสแบบนี้ตอนแรกคิดว่าที่ฮ่องกงอากาศต้องดีแน่นอน แต่ที่ไหนได้พอเครื่องจะลงนี่ฟ้าเน่าได้สนิทใจ บนเครื่องนี่ต้องขอบคุณทาง “Thai Air Asia” ที่จัดอาหารให้ชุดใหญ่จนเต็มอิ่มเลย เป็น “Chicken Sausage Danish” กับแพนเค้กอุ่นๆ แถมด้วยที่นั่ง Hot Seat ริมหน้าต่างทำให้เห็นวิวสวยๆ ได้ตลอดทางครับ

เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาลงที่สนามบินนานาชาติฮ่องกงแห่งนี้ครับ เพราะล่าสุดที่ผมมาเที่ยวฮ่องกงก็ตั้งแต่สมัยจบมัธยมปลายแล้ว ตอนนั้นยังเป็นสนามบินเก่าที่ต้องลงบนเกาะเดิมอยู่เลย สำหรับสนามบินแห่งนี้ก็จะมีรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างอาคารเพื่อมาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยปกติก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากครับ ผ่านไปก็รอรับกระเป๋าที่สายพานได้เลย
จากเชียงใหม่ก็ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมง ถึงที่หมายตอน 09.45 AM ตามเวลาท้องที่ซึ่งเร็วกว่าบ้านเราไปชั่วโมงนึง ถือว่าเป็นเวลาที่ดีครับ ยอมตื่นเช้าหน่อยแต่ไปถึงไม่สายจนเกินไป แถมบินตรงจากเชียงใหม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยนเครื่องหรือนอนค้างที่กรุงเทพ แต่กรณีที่ออกจากกรุงเทพก็จะมีเที่ยวเช้าแบบนี้เช่นกันครับ ออกช้ากว่าหน่อยแล้วก็จะถึงเลทกว่าประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง

ระหว่างที่รอคนอื่นซึ่งกำลังเดินทางมาจากกรุงเทพ ผมก็เดินสำรวจเล็กน้อย เห็นว่าเริ่มมีการตกแต่งไฟคริสตมาสกันบ้างแล้ว อย่างรูปที่เห็นข้างบนนี่ก็อยู่ระหว่างเตรียมต้นคริสตมาสขนาดใหญ่อยู่ด้านใน จากนั้นก็ลองใช้ Data Roaming ซึ่งพอดีตอนผมมามีโปรเหมาจ่ายรายวันในราคาที่รับได้พอดี แต่ปกติไปเมืองนอกนี่ผมจะปิดไว้เลยเพราะกลัวค่าบริการอันแสนแพงจะตามมา ซึ่งค่ายสีฟ้าที่ผมใช้นี่ส่วนตัวผมว่าสัญญาณไม่ค่อยดีครับ แถมชอบหลุดไปเครือข่ายนอกระบบที่ระบุไว้ในแพ็คเกจ ทำให้ผมต้องเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุ เนื่องจากเป็นการใช้ระบบ Roaming เป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าถ้ามือถือเราเลือกเครือข่ายที่ระบุไว้แล้วจะหลุดไปอันอื่นได้ ทาง Call Center ที่ผมสมัครไปไม่ได้เตือนตรงนี้มา (บอกเพียงวิธีติดตั้ง) ส่วนผมนี่ก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอใช้เครือข่ายอื่นก็หลายชั่วโมง เสียเวลางมอยู่นานกว่าจะปิดระบบอัตโนมัติและกลับมาใช้เครือข่ายที่ระบุไว้ในโปรก็ทำเอาวุ่นวายทีเดียว ลองสอบถามเพื่อนที่ใช้ของค่ายมือถืออื่นก็พบว่าสัญญาณดีกว่าของผมและก็ไม่พบว่าหลุดข้ามเครือข่ายด้วย ตรงนี้ทำเอาแอบเซ็งอยู่เหมือนกัน ทำเอาเข็ดกับ Data Roaming ไปเลย ตรงนี้กลับมาก็ได้คำแนะนำจากหลายคนว่า ให้ซื้อซิมที่ฮ่องกงไปเลยจะประหยัดกว่ามาก (แค่อาจเสียเวลาเปลี่ยนซิมเท่านั้น) หรือพกเครื่อง Pocket Wifi มาเลยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ ส่วนผมรอหมดสัญญาโปรที่มากับไอโฟนใหม่ก่อน อาจมีโอกาสย้ายค่ายค่อนข้างสูง เพราะช่วงหลังเวลาอยู่เชียงใหม่นี่ 3G ก็ไม่ค่อยดี มักจะหลุดไป Edge บ่อยๆ แถมบางครั้งก็เจอปัญหาโทรแล้วสัญญาณไม่ค่อยดีอีกด้วย

พอสมาชิกมาถึงกันครบ ก็มีทีมงานจากทาง Hong Kong Disneyland เอารถบัสมารับไปส่งที่โรงแรม งานนี้เป็นหนึ่งในความฝันของผมเลยทีเดียว เพราะว่าจะได้พักโรงแรมของ Disney และนี่ล่ะเป็นเหตุผลให้ผมตอบรับอย่างไม่ลังเลเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกทริปฮ่องกงในครั้งนี้ โดยพวกเราจะอยู่กันสองคืนที่ Disney’s Hollywood Hotel (หนึ่งในสองโรงแรมอย่างเป็นทางการของ Hong Kong Disneyland) อารมณ์จะออกแนว Hollywood ครับ ถึงแม้ว่าราคาสูงนิดนึงแต่ว่าจะพักอยู่ไม่ไกลจากสวนสนุกเลย แล้วก็มีรถ Shuttle Bus รับส่งฟรีทั้งวันอีกด้วย เดินเข้ามาภายในโรงแรมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศ Disneyland เลยครับ จะมีพวกตัวละครต่างๆ ตกแต่งอยู่ทั่วบริเวณ ในห้องพักก็จะมีข้าวของน่ารักมากมาย ที่สะดุดใจเห็นจะเป็นขวดสบู่และแชมพูในห้องน้ำครับ เสียดายขวดเล็กไปนิดต้องขอมาหลายรอบ (สามารถโทรกด “0” แล้วขอแม่บ้านมาส่งให้ครับ) เห็นเงียบๆ ผมเก็บเรียบมาฝากคนที่บ้านเพียบเลย นอกจากนี้ก็จะมีรองเท้าแตะใส่ในห้องที่นำกลับมาบ้านได้ ผมเก็บมาฝากลูกที่บ้านด้วยเพราะมีไซส์เด็กเล็กสุดน่ารัก


ตื่นเต้นกับห้องพักและโรงแรมได้ไม่นานต้องรีบลงมารวมพลครับ เรามีโปรแกรมกันตั้งแต่วันแรกกันเลยทีเดียว ระหว่างที่รอทีมงานเฉพาะกิจมารับผมก็ขอสำรวจร้านขายของที่ระลึกก่อน แอบสะดุดตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วครับ พอเดินเข้าไปในร้านเท่านั้น ทำเอากระเป๋าตังค์สั่นอย่างแรงเลย อารมณ์ประมาณเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด เพื่อความสบายใจก็หยิบมาสักชิ้นจ่ายเงินเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยครับ แล้วที่เหลือค่อยมาทะยอยเก็บกันอีกที

กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ก่อนจะเข้าไปยังสวนสนุก พวกเราจะไปแวะทานมื้อเที่ยงกันเสียก่อนที่ “Hong Kong Disneyland Hotel” ครับ อันนี้ล่ะเป็นที่พักในฝันของผมเลย ราคาจะสูงกว่าที่ผมพักเล็กน้อย แต่สำคัญตรงห้องมักจะเต็มและจองยากนี่ล่ะครับ สำหรับที่นี่จะอารมณ์ประมาณอยู่ในโลกแห่งดิสนีย์ก็ว่าได้ เพราะโรงแรมจะตกแต่งแนวจัดเต็มแบบ Victorian Style ตามที่เราเห็นในการ์ตูนเจ้าหญิงกันเลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้รอบหน้าพาลูกมาเที่ยวแบบส่วนตัวคงต้องลองสักหน่อยแล้ว พอลงจากรถก็ออกอาการงงเหมือนหลุดเข้าไปโลกแห่งเทพนิยายเล็กน้อย บอกกับตัวเองว่าไม่ได้ฝันไปนะเนี่ย (ส่วนตัวจะชอบอารมณ์ของที่นี่มากกว่าโรงแรมที่ผมพักมาก) กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ “Crystal Lotus” ห้องอาหารจีนซึ่งได้รับรางวัล โดยมีจุดขายอยู่ที่ตัวอาหารซึ่งให้อารมณ์เป็น Disney มากๆ และพลาดไม่ได้กับ “Disney Signature Dim Sum” สามารถหาทานได้เพียงที่ “Hong Kong Disneyland Resort” เท่านั้น

ในส่วนห้องอาหารนี้ก็จะบริการอาหารจีนนะครับ หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนกวางตุ้ง เสฉวน หรือเซี่ยงไฮ้ ก็มีให้หมด แต่ว่าที่ไม่ควรพลาดก็ต้องเป็นพวก “เมนู Signature” นั่นเอง เพราะอย่างอื่นนี่ก็หาทานข้างนอกได้ ซึ่งเมนูเฉพาะนี้ก็จะเน้นเป็นพวกติ่มซำที่ปั้นเป็นรูปตัวละครจาก Disney นั่นเอง อย่างจานนี้ก็จะเป็น “Duffy : Steamed Red Bean Puree Bun” หรือ “ซาลาเปาไส้ถั่วแดง” นั่นเอง เจ้าหมี “Duffy” นี่บอกตรงเลยว่าผมเกิดไม่ทันจึงไม่ค่อยรู้จักครับ แต่คิดว่าดังพอสมควรเพราะเห็นขายของที่ระลึกเต็มไปหมดทุกแห่ง ก่อนจะสำเร็จโทษต้องจับมาถ่ายรูปให้คุ้มค่าก่อน เพราะไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่จะมีโอกาสมาทานอย่างนี้อีก สำหรับรสชาติก็อาจจะธรรมดาไม่ต่างซาลาเปาทั่วไปนัก (รสอาจไม่จัดจ้านถึงขั้นอร่อยเทพถูกปากสไตล์คนไทยนัก) แต่ว่าความสดและน่ารักของเจ้าหมีนี่ล่ะ ทำให้รู้สึกดี๊ด๊าน่าลองเป็นทวีคูณตั้งแต่ตอนเห็นครั้งแรกจากแผ่นพับ เมื่อถ่ายรูปจนทั่วทุกรูขุมขนแล้ว ผมก็หลับตาคว้าเจ้าหมีเข้าปากอย่างไร้ความปราณีเลย บอกตามตรงว่าไม่กล้าจ้องตามากเดี๋ยวจะสงสารและพาลไม่กล้ากินได้
ป.ล. ผมไปอ่านเจอในเว็บ Disney ว่าบางเมนูต้องสั่งล่วงหน้า เช่น ซาลาเปาวันเกิดที่ทำเป็นตัว “Chicken Little” ไก่น้อยผู้โด่งดัง คงนึกกันออกนะที่มีเพลงแดนซ์ “มายยะฮี๊ มายยะฮ้า มายยะฮิฮี” ที่ฮิตติดหูหลายปีก่อน จะทำเป็นซาลาเปาฝูงไก่น้อย เห็นจากในรูปน่ารักน่าชักฝุดๆ ไปเลยครับ อันนี้เขาบอกว่าต้องสั่งก่อนล่วงหน้า 48 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

หลังจากทานข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำธุระสักเล็กน้อย ตามทางก็มีป้ายบอกชวนให้อยากสำรวจยิ่งนัก แต่เนื่องด้วยได้เวลาไปสนุกกันแล้ว จึงหวังว่าโอกาสหน้าจะได้กลับมาแวะกันอีกสักครั้ง


จากโรงแรมที่พักก็จะมีป้ายรอรถครับ เป็น Shuttle Bus ที่ให้บริการฟรี โดยวิ่งระหว่างโรงแรมทั้งสองแห่งและ Hong Kong Disneyland แบบว่าสะดวกสบายมากๆ ยกเว้นตอนช่วงสวนสนุกปิดที่รถจะค่อนข้างแออัดเป็นพิเศษ ระหว่างรอพวกเราก็จะได้ตั๋วมาคนละใบ เห็นน้องๆ ที่มาด้วยกันนำมาถ่าย Selfie กันสนุกไปเลย เอาการ์ดมาบังหน้าและกะให้พอดีทาบหน้าเราตอนถ่ายรูปตัวเอง

จาก Hong Kong Disneyland Hotel ก็ใช้เวลาไม่นานนัก นั่งไม่ทันเพลินก็ถึงแล้วแบบหลอกๆ เพราะว่าจากชานชาลาเดินเข้าไปยังประตูทางเข้า Disneyland นี่ไกลมาก คาดว่าเขาคงเผื่อไว้อีกหน่อยอาจสร้างพวกร้านอาหารหรือร้านรวงเพิ่มขึ้นเหมือนของที่อเมริกา ตอนเข้าครั้งแรกก็ไม่รู้สึกว่าไกลสักเท่าไหร่ แต่พอถึงช่วงขากลับจากเล่นเครื่องเล่นเหนื่อยๆ ออกมานี่ขาแทบลากทีเดียว ระหว่างทางก็จะมีสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะฮ่องกงและสนามบินได้เช่นกัน อันนี้ไว้วันถัดไปจะพาไปนั่งชิวบนเส้นทางรถไฟฟ้าสาย Disneyland นะครับ

บริเวณทางเข้า Disneyland ก็จะมีป้อมขายบัตรผ่านประตู สามารถมาซื้อสดหน้างานเลยก็ได้ครับ (ปกติผมทำประจำ) หรือว่าผ่านทางหน้าเว็บหรือบริษัททัวร์ที่ไว้ใจได้ก็อาจมีโปรราคาพิเศษ สำหรับ Hong Kong Disneyland ถึงแม้เปิดให้บริการมาเกือบสิบปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศครับ จัดว่าเป็น Disneyland Resort แห่งที่สามที่อยู่นอกอเมริกา (ในเมกาจะมีสองแห่ง) และก็เป็นแห่งที่สองในเอเซียถัดจากญี่ปุ่นครับ ตอนนี้ก็เหลือเพียง Disneyland Paris หรือ Euro Disneyland (ชื่อเดิม) ที่ผมยังไม่เคยไปเก็บ แรกเริ่มตอนที่นี่เปิดใหม่ ผมก็ไม่ค่อยสนใจหรืออยากมาเที่ยวเป็นพิเศษ เพราะเคยไปมาทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว แถมดูข้อมูลตอนนั้นแล้วพบว่าสวนสนุกมีขนาดไม่ใหญ่นักและเครื่องเล่นน้อย แต่พอได้มาเยือนคราวนี้ถึงกับเปลี่ยนใจกระทันหัน เนื่องจากมีการเพิ่มโซนใหม่จากเดิมพอสมควร ยังไม่นับรวมที่กำลังสร้างเพิ่มอยู่ด้วย นอกจากนี้ เครื่องเล่นและกิจกรรมบางอย่างจะมีเพียงที่ Hong Kong Disneyland เท่านั้น ดังนั้น ใครที่เคยมีความคิดแบบผมกรุณาเปลี่ยนใจด่วน หากไปเที่ยวฮ่องกงก็อย่างมัวแต่เน้น shopping อย่างเดียว ใส่ Disneyland เข้าไปในโปรแกรมทริปด้วยเลยอย่างน้อยวันนึงกำลังดีครับ เสร็จจากทริปสื่อคราวนี้ กะว่าต้นปีหน้าจะกลับมาใหม่พร้อมกับลูกชายครับ ล่าสุดตอนนี้ convince ภรรยาที่เคยมีความคิดเดียวกันเรียบร้อย ด้วยภาพที่ผมถ่ายกลับมาจากทริปนี้ (และก็ของฝากที่น่าร๊อกฝุดๆ)

ช่วงแรกภายใน Disneyland ก็คล้ายกันหมด มีสวนดอกไม้และสถานีรถไฟ ซึ่งตอนนี้ปิดเพราะว่ากำลังก่อสร้างเครื่องเล่นใหม่ เกรงว่าถ้ารถไฟวิ่งผ่านคนก็จะเห็นกันหมดและคงเพื่อความสะดวกในการทำงานด้วย สำหรับวันนี้พวกเราจะเน้นชมพาเหรดเป็นงานหลักครับ ถ้ามีเวลาว่างก็จะปล่อยฟรีไปเดินชิวตามอัธยาศัย พอไปถึงก็ใกล้เวลาพาเหรดจึงไม่ทันได้เข้าไปโซนเครื่องเล่น

ระหว่างนั้นรอขบวนพาเหรดเริ่มผมก็เดินสำรวจแถว “Main Street, U.S.A.” ซึ่งเป็นถนนสายหลักสำหรับ shopping ทุกสิ่งทุกอย่างมากมายตลอดสาย และเป็นบริเวณที่พาเหรดเดินผ่านทั้งหมด เดินเล่นแถวนั้นไม่นาน ทางน้องๆ เจ้าหน้าที่ของ Disneyland เริ่มมากั้นถนนและเคลียร์พื้นที่ เพื่อเตรียมรอรับขบวนพาเหรดแรกประจำวันนี้ “Flights of Fantasy Parade” – ประมาณ 03.30 PM – ซึ่งรายละเอียดพวกนี้ก็เปิดดูได้จากแผ่นพับที่แจกตอนเช็คอินที่โรงแรมหรือตอนซื้อบัตรผ่านประตูได้ครับ ก็จะมีพวกรถเข็นของที่ระลึกและลูกโป่งมาตระเวนขายกันถึงที่ ลูกโป่งพวกนี้น่ารักจนแทบหวั่นไหวอยากได้มาไว้ครอบครอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขนกลับมาเมืองไทยยังไงให้สวยเหมือนเดิม โดยเฉพาะบางรุ่นนี่ตอนกลางคืนจะมีไฟข้างในฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวมากๆ

ไม่นานนักที่นั่งก็ถูกจับจองโดยนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วทั้งสองฟากถนน มาเที่ยวอย่างนี้ต้องอยู่แถวหน้าจะได้อารมณ์มาก บางทีต้องยอมเสียเวลามานั่งก่อนเพื่อจองคิว

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมและทุกคนรอคอย ขบวนพาเหรดเริ่มต้นจากปราสาทเทพนิยายที่อยู่ด้านหลัง เสียงเพลงและบรรยากาศแห่งความสนุกได้เริ่มต้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ทุกครั้งที่ได้มาชมพาเหรดก็จะตื่นเต้นตลอดเหมือนย้อนกลับไปวัยเด็กเมื่อวันวาน เชื่อแล้วว่าที่ Disneyland นี่เอาทุกเพศทุกวัยอยู่หมัดจริงๆ อารมณ์นั้นอยากกลับไปพาลูกมาเที่ยวด้วยกันมากเลยครับ
สำหรับพาเหรดชุดแรกนี่ก็จะเป็นพวกตัวละครจาก “Mickey Mouse” ที่จะมาพร้อมกับผองเพื่อน และก็ตามมาด้วย “Pooh” หมีสีเหลืองยอดฮิตอีกตัวนึง โดยกลุ่มผมจะรอชมที่ต้นถนนทางเข้า พอขบวน Mickey มาถึงก็จะหยุดอยู่นานมาก ทำเอาผมอดไม่ไหวเต้นไปพร้อมกับเสียงเพลงในระหว่างที่ถ่ายรูปอย่างเมามันส์ โดยเฉพาะ Minnie Mouse จะเต้นสนุกเกินค่าตัวมากๆ ประมาณว่าจ้างมาสิบเต้นซะร้อย





ถัดมาก็จะเป็นตัวละครจากการ์ตูนเทพนิยายต่างๆ ที่เวลาเมื่อก่อนตอนเราอ่านหนังสือจะเริ่มต้นด้วย “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (นานจนจำอะไรไม่ได้)” นั่นล่ะครับ โดยจะเน้นพวกนางเอกและเจ้าหญิงสวยๆ เสียดายบนพาเหรดไม่มีตัวละครจาก Frozen มาด้วย เห็นกำลังฮิตมากๆ จนเด็กทั่วเมืองไทยร้องเพลง “Let it go!” กันได้แทบทุกคน เพื่อนผู้หญิงลูกชายผมแทบจะใส่ชุดของ Queen Elsa & Princess Anna กันจนแทบจะเป็นชุดประจำชาติเลยก็ว่าได้ เจ้าหญิงทั้งหลายจากเทพนิยายก็จะมุ้งมิ้งปาจิงโกะชวนฝันแทบทุกคน จัดว่าเป็นอีกชุดที่ประทับใจมาก (โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง)


ขบวนทั้งหลายก็จะรวบรวมตัวละครเอกจากการ์ตูนดังในอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ถ้าใครเป็นแฟนเคยดูจนครบนี่รับรองได้ว่าสนุกเพลินไปเลย อย่างผมก็ติดตามตลอด แต่ก็มีพลาดบ้างบางเรื่องครับ เพราะสมัยเด็กก็มีโอกาสดูการ์ตูน animation พวกเจ้าหญิงกับพี่สาวอยู่เป็นประจำ ชอบฟังเพลงประกอบของ Disney ที่เพราะแทบทุกเรื่องเลย




ในที่สุดก็มาถึง Animation สุดโปรดของผมอีกเรื่องครับ ทันทีเมื่อได้ยินเพลง Title ขึ้นนี่ “ผมนี่ยืนขึ้นเลย (เต้นด้วย)” แบบว่าแทบหลุดไปในโลกของเรื่องโปรด น่าจะเป็นครั้งแรกครับที่ผมได้เห็นพาเหรดจาก Toy Story เพราะไม่ได้เข้า Disneyland มานานพอสมควร ล่าสุดก็ปี 2007 ที่เมกา แต่เหมือนไม่ได้ยืนรอชมพาเหรด เพราะมัวแต่ไปเน้นเครื่องเล่นเสียมากกว่า ปกติช่วงที่มีพาเหรดหรือว่าการแสดงโชว์ต่างๆ จะทำให้เครื่องเล่นว่างมากไม่ค่อยมีคิวต่อแถว ผมจึงมักใช้ช่วงนี้เป็นเวลาทองในการไปเล่นเครื่องเล่นทั้งหลายน่ะครับ ส่วนใหญ่ผมจะเลือกดูโชว์แต่พาเหรดตอนกลางคืนอันเดียวเนื่องด้วยเวลาจำกัดในแต่ละทริป ไม่ค่อยได้ต่อคิวนั่งรอตอนกลางวันสักเท่าไหร่ พอได้มาดูครั้งแรกรู้สึกประทับใจมาก แอบเสียดายที่เมื่อก่อนพลาดไม่ได้ดู ผมว่าถ้าจัดตารางดีๆ หรือเพิ่มวันเที่ยวนี่ก็น่าเก็บให้ครบเหมือนกัน สำหรับเที่ยวนี้เวลาเหลือเฟือแต่เน้นกินและชิวเกินไป ก็เลยมีไปไม่ครบเหมือนกัน กะว่ารอบหน้ามากับครอบครัวจะเก็บที่เหลือให้หมดครับ

เสร็จจากขบวนพาเหรดก็ได้เวลาเข้าสวนสนุกแล้วครับ ช่วงแรกก็ผ่าน Main Street, U.S.A. ไปก่อน ตรงนี้จะเน้นกินอาหารและซื้อของ เดี๋ยวรอขากลับออกมาค่อยสอยให้เต็มที่เลย ว่าแล้วก็เดินลอดปราสาทเทพนิยาย (Sleeping Beauty Castle) ซึ่งเป็นประตูสู่ Fantasyland
บริเวณนี้จะช่วงที่ผมไปจะมีร้านรวงขายของที่ระลึก Frozen จำนวนมาก โดยเฉพาะที่ “Storybook Shoppe” (ลองดูในแผนที่ครับ) รับรองเลยว่าใครพาลูกสาวไปต้อง shopping ตามใจกันเพลินแน่ เพราะมีทั้งชุดและก็ตุ๊กตา ข้าวของเครื่องใช้ที่เป็น Elsa & Anna มากมายละลานตา ส่วนด้านนอกจะเป็นที่ “Meet & Greet” กับตัวละครดังทั้งสอง ซึ่งลองไปเช็คเวลาแล้วก็รอคิวถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกได้เลยครับ ช่วงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์จาก Frozen เลย ถึงแม้ว่าจะฉายไปตั้งแต่ปีก่อน แต่ควันหลงยังคงไม่จางลงไปสักเท่าไหร่ คนรอคิวถ่ายรูปกับสองนางนี่ยาวมากครับ ระหว่างนั้นผมก็ไปเดินเล่นดูของที่ระลึกตามเคย แอบเล็งของฝากให้ลูกชายไว้หลายอย่าง เดี๋ยวพรุ่งนี้มีเวลาจะกวาดให้เรียบเลยครับ



หลังจากได้ยลโฉมพระราชินีหิมะและเจ้าหญิงจาก Frozen พวกเราก็ได้เวลาเจี๊ยะตัวละครกันอีกแล้วล่ะครับ แอบรู้สึกบาปเล็กน้อย เพราะขนมแต่ละอย่างที่จัดมานี่ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน เดินถัดไปนิดเดียวจะเป็น Royal Banquet Hall ซึ่งเป็นห้องอาหารนานาชาติอยู่ในโซน Fantasyland มีทั้งอาหารปิ้งย่างแบบเมกัน บะหมี่และเบนโตะแบบญี่ปุ่น อาหารจีนแบบติ่มซำหรือผัดทั้งหลาย รวมไปถึงแนวอิตาลีอย่างพวกพิซซ่าและพาสต้า จะเห็นตัวอย่างหน้าร้านว่ามีอะไรทานบ้าง (ตามรูปปลากรอบด้านล่าง)
แต่พวกเราไม่เน้นของหนักครับ มื้อนี้จะเป็นขนมหวานแบบพิเศษสไตล์ Frozen เลย แบบว่าเห็นแล้วน่ารักฝุดๆ จนอยากขนกลับมาทานเมืองไทยเลย เพราะเขาจะให้ขนม Queen Elsa & Princess Anna Cupcake ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในรายการ “A Sparkling Christmas” ขนมชุดนี้ ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะมีถึงแค่ 4 มกราคม ปีหน้า จนหมดช่วงฉลองเทศกาลคริสตมาสนะครับ ขนมหวานมากจนแสบคอ ว่าแล้วก็หาซื้อน้ำเปล่าขวดราคามิตรภาพ (ประมาณ 4HK$) แบบว่าต้องกินให้ครบทุกหยดเลยเพราะแพงเอาเรื่องครับ สำหรับพวกน้ำดื่มก็หาซื้อได้ทั่วไป ตามรถเข็นข้างทางก็มีขายครับ

เมื่อหม่ำกันเสร็จต้องรีบย่อยครับ เป้าหมายคือเล่นเครื่องเล่นให้มากสุดก่อนที่จะไปชมพาเหรดตอนกลางคืน ซึ่งเป็นสุดยอดไฮไลท์ของวันนี้เลย เปิดแผนที่ดูเลือกเอา “Space Mountain” ก่อนเลย เป็นเครื่องเล่นที่ดังมานานแล้ว ที่สำคัญคิวไม่ยาวเลยเพียงห้านาทีเท่านั้น (ไม่น่าเชื่อ) ส่วนนึงคงเป็นเพราะคนไปชมพวกโชว์กันหมดครับ ว่าแล้วก็รีบเข้าไปเลย ใจนึงแอบเสียวๆ เพราะไม่ได้เล่นเครื่องเล่นเสียวๆ มาเกือบสิบปี แอบกลัวว่าอายุเยอะแล้วจะไหวไหม แต่พอได้เล่นก็เหมือนปลดล็อคกลับสู่วัยหนุ่มอีกครั้งเลย “อัยยะ”
พิชิตเครื่องเล่นแรกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นมุ่งต่อไป “Buzz Lightyear Astro Blasters” ซึ่งอันนี้สามารถเล่นได้ทุกเพศและวัย เนื่องจากไม่เสียวนัก เป้าหมายภารกิจหลัก คือ ช่วยพระเอก “Buzz Lightyear” จากตัวร้ายอย่าง “Emperor Zurg” อารมณ์ประมาณล้อเลียน Star Wars ครับ สุดท้ายกลายเป็นพ่อลูกสู้กันเอง (เนื้อเรื่องจาก “Toy Story 2”) เป็นเครื่องเล่นแบบ Interactive เก็บแต้มกับเพื่อนที่นั่งไปด้วยกันแข่งกันสนุกไปเลย


เคลียร์ของเล่นสำคัญโซนนี้เสร็จก็เห็นเวลาเหลือพอสมควรครับ ว่าแล้วก็ขอข้ามฟากไปโซนใหม่ล่าสุดอย่าง “Grizzly Gulch” – ลองตามลิงค์เข้าไปดูนะครับ พอดีไปช่วงกลางคืนถ่ายรูปไม่สะดวก แล้วก็ตอนเล่นหรือต่อคิวนี่จะดึงกล้องเข้าออกกระเป๋าเป้ก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรกลับมา — ซึ่งระหว่างทางจะโล่งมาก เพราะผู้คนหนีไปดูโชว์ “Festival of the Lion King” บริเวณ Adventureland กันหมดครับ อันนี้เป็นอีกหนึ่งรายการที่ห้ามพลาดเด็ดขาด ตอนแรกผมนึกว่าจะมาเก็บพรุ่งนี้ทัน ปรากฎว่าเวลารายการบางอย่างมันทับกันก็เลยอด (งานนี้มีเงิบครับ) คงต้องมาเก็บทริปหน้าอีกที อันนี้หลายคนยืนยันว่าเพลงเพราะและก็การแสดงดี พูดแล้วก็อดเสียดายไม่หายครับ
แต่เครื่องเล่น “Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars” ของผมที่จะเก็บอีกอันนี้จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดที่ “เสียว เร็ว และมันส์” ครับ ซึ่งอันนี้เป็นเครื่องเล่นที่ค่อนข้างใหม่ครับ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเปิดตัวที่นี่ไปเมื่อกลางปีที่แล้วนี่เอง ผมไม่เคยเล่นที่ Disneyland ไหนมาก่อนเลย เข้าไปแบบลุ้นๆ ว่าจะเสียวหรือมีอะไรข้างหน้ารึเปล่า เอาเป็นว่าสนุกมากจนกระทั่งผมกับเพื่อนที่ไปด้วยกันต้องกลับมาเล่นแล้วรวมสามรอบติดกันเลย (แถมวันถัดไปก็จัดไปอีกสองครับ) เป็นเครื่องเล่นที่ผมกดให้คะแนนเต็ม “สิบกะโหลก” ครับ เล่นจนฟินเหลือเกิน ผมไม่เล่ารายละเอียดมาก ถ้าได้มาเที่ยว Hong Kong Disneyland อยากให้มาลองเล่นกันเองดีกว่า

เล่นเครื่องกันพอหายอยากก็รีบจ้ำกลับมาที่ Main Street, U.S.A. เพราะกลัวไม่ทันดูพาเหรด จากโซนที่ผมไปนี่ก็ค่อนข้างอยู่ไกลทีเดียว ถ้ารถไฟกลับมาเปิดใช้อีกทีคงทุ่นเวลาและแรงงานไปอีกเยอะ พอมาถึงคนก็เริ่มทะยอยมากันแล้วครับ แต่ก็พอมีเวลาอีกพอสมควรกว่าพาเหรดจะเริ่ม ผมก็ชิวๆ ชมของริมทางบ้าง แล้วก็แวะดูของฝากเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
สำหรับพาเหรดที่จะชมในคืนนี้เป็น “Disney Paint the Night” ซึ่งมันไม่ได้มีเพียงเอารถหรือขบวนพาเหรดมาติดไฟหลากสีสันธรรมดา แต่จะเป็นพาเหรดที่มีความหมายเหมือนชื่อเลย เรื่องราวประมาณว่า Mickey Mouse จะมี “แปรงระบายสีเวทมนต์ (Magic Paint Brush)” ซึ่งสามารถ “ระบายสีค่ำคืน (paint the night)” ในโลกแห่งความฝันของ Disney ด้วยพลังแห่งแสงวิเศษจาก Tinker Bell โดย Mickey และผองเพื่อนจะช่วยกันเนรมิตเรื่องราวอันตระการตาด้วยแสงไฟแสนประทับใจตลอดเส้นทาง Hong Kong Disneyland
สำหรับพาเหรดไฟยามค่ำคืนนี้จะใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยจาก LED สร้างเรื่องราวอันแสนคลาสสิคจาก Disney และ Disney Pixar คัดสรรมาเป็น 7 ขบวนพาเหรดอันยิ่งใหญ่ครับ

ขบวนเปิดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Tinkle Bell Opening Unit” เพราะจะเป็นค่ำคืนแห่งแสง และต้องใช้พลังวิเศษจาก Tinker Bell ที่มีวงล้อ “Color Spiral” ส่องประกายวิบวับ พร้อมกับโปรยละอองแสงวิเศษไปรอบๆ พร้อมด้วยนักแสดงสมทบ – หรือแถวบ้านเรียก “ตัวปลากรอบ” นั่นเอง – จะเป็นขบวนนางฟ้าบินตามในชุด Fiberoptic เช่นเดียวกับ Tinkle Bell เห็นแล้วฟินมาก

ติดตามอันดับสองกับอีกการ์ตูนดัง “Monster, Inc.” ที่ผมพลาดหนังโรง แต่ก็มาดูฉายซ้ำทีหลังครับ เป็นอีกเรื่องที่น่ารักและเต็มไปด้วยประตูสู่ความฝันของเด็กๆ นำทีมโดยสองตัวเอก “Mike & Sulley” ที่มาพร้อมกับประตู ซึ่งพาเหรดจะใช้เป็นจอความคมชัดสูงฉายภาพให้เห็นแขกพิเศษมากมายเปิดประตูออกมา



ขบวนที่สามมาจากอีก Animation สุดโปรดที่ดูทุกภาค จำได้ว่าชอบเรื่องนี้ตั้งแต่ภาคแรกเพราะฉากใน Animation จาก Radiator Springs ซึ่งจำลองพื้นที่จากแถบ Southwest ในเมกาที่เหมือนกับที่เคยขับผ่านด้วยตัวเองบน “Route 66” อันเลื่องชื่อ ด้านข้างของ “Mack” รถบรรทุกเปิดไฟสว่างสะใจ สำหรับขบวนก็เป็นขบวนสั้นๆ เอารถมาวิ่งสวยดีครับ แค่ได้เห็น McQueen กับตาตัวเองก็ปลื้มแล้ว

ต่อมาก็ถึงคราวของนิยายโลกใต้น้ำอันโด่งดัง “The Little Mermaid” ขบวนนี้จะสีสันจัดจ้านมากครับ นำทีมโดย King Triton และ Ariel จอดอยู่หน้าผมนานมากครับ เหมือนได้สีสันจากโลกใต้ทะเลลึกมารวมอยู่ในพาเหรดด้วย

ใกล้หมดแล้วครับ อันนี้เป็นขบวนแสงเทียนจากงานเลี้ยงใน Animation ดังเมื่อสมัยผมยังหนุ่มๆ “Beauty and the Beast” จำได้ว่าชอบเพลงประกอบเรื่องนี้มาก เคยไปดูละคร Broadway ที่นิวยอร์คก็ประทับใจสุดๆ เห็นในพาเหรดค่ำคืนนี้ก็เป็นอีกบรรยากาศไม่แพ้กัน อันนี้เก็บภาพเจ้าหญิง Belle ไม่ทัน เรื่องราวจากในการ์ตูนจะฉายภาพลงบนชุดราตรี และรายล้อมไปด้วยโคมเทียนระย้าและนักเต้นอ่อนช้อยเหมือนฝูงหงส์ เป็นอีกชุดที่อลังทีเดียวครับ

สำหรับ “Toy Story” ขบวนของเล่นจะมี “Woody & Buzz” กำลังนั่งอยู่บน Slinky Dog สุนัขของเล่นที่เป็นสปริง เสียดายที่ Buzz หันหน้าไปอีกข้างก็เลยเก็บภาพไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ครับ


ขบวนสุดท้ายจะเป็น “Mickey & Friends Finale Unit” ปิดท้ายโดยพระเอกตลอดกาลของ Disney ให้ “Mickey” ควงคู่หวานใจ “Minnie” มาทำหน้าที่เป็นดาวเด่นของการเฉลิมฉลอง พร้อมสหายสุดรักอย่าง “Goofy & Donald” สำหรับความพิเศษของชุดสุดท้าย จะมีนักแสดงประกอบมาช่วยสร้างสีสันกันอย่างครบครัน

แล้วก็จบไปอย่างสมบูรณ์กับพาเหรด “Disney Paint the Night” แต่ว่าจะมี items พิเศษสำหรับเด็กๆ เพื่อการนี้โดยเฉพาะพาเหรดในยามค่ำคืนเท่านั้น นั่นก็คือ ทาง Disney ได้คิดค้นและนำเสนอสินค้าสุดพิเศษในสามโลก “made with magic” หรือ “เนรมิตด้วยเวทมนต์” เป็น interactive merchandise หาซื้อได้ตามร้านของที่ระลึกหรือรถเข็นที่ขายริมทางตอนก่อนพาเหรดกลางคืนเริ่ม สังเกตได้จากรถเข็นจะมีไฟมุ้งมิ้งปาจิงโกะให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งของวิเศษมีทั้งหมดสามอย่าง ได้แก่ “Mickey Magic Paint Brush” เป็นเหมือนพู่กันขนาดพอดีมือ อันต่อมา “Mickey Glow Mitt” ถุงมือของ Mickey เรืองแสงได้เช่นกัน และของชิ้นสุดท้าย “Minnie Glow Bow” ที่คาดผมสำหรับเด็กผู้หญิงมีไฟที่โบว์ ซึ่งสามอย่างนี้สามารถร่วมสนุก “interactive” ไปกับผู้แสดงและขบวนพาเหรดยามค่ำคืนได้ครับ (แบบว่าเจ๋งเวอร์) เวลาที่ขบวนหรือนักแสดงที่มีไฟแสงสีเคลื่อนผ่าน จะมีการสื่อสารกับของวิเศษทั้งสามอย่างโดยคลื่น Infared ที่ส่งออกมาจากขบวนจะทำให้ของวิเศษทั้งสามเปลี่ยนสีฟรุ๊งฟริ๊งตามไปด้วย และบางจังหวะเมื่อพาเหรดหยุดส่งสัญญาณออกมา คนที่ถือ Mickey Magic Paint Brush สามารถส่งสัญญาณไปยังเครื่องแต่งการของนักแสดงบางคน เช่น ชุดเจ้าหญิงหรือนักแสดงเสริมที่ติดไฟไว้รอบตัว รวมไปถึงเปลี่ยนสีของ Mickey Glow Mitt และ Minnie Glow Bow ได้ด้วยเช่นกัน พูดได้คำเดียวว่าของวิเศษนี่เป็นเครื่องเล่นดูดเงินดีๆ นี่เอง กลับไปรอบหน้าคงได้สอยให้ลูกชายแน่นอนครับ
เสร็จจากนี้ก็จะมีการเปิดไฟต้นคริสตมาสเป็นวันแรก “Christmas Tree Painting” เพื่อเฉลิมฉลองในเทศกาลหน้าหนาว “Disney Paint the Night” ระหว่างนั้นก็มี surprise กันด้วยหิมะเทียมเข้ากับบรรยากาศเหลือเกิน และก็อีกหนึ่งโชว์ที่สำคัญที่ปราสาทเทพนิยาย (Sleeping Beauty Castle) ก่อนสวนสนุกปิด ซึ่งเป็นการโชว์พลุอย่างยิ่งใหญ่อลังการ “Disney in the Stars Fireworks” ตอนแรกผมกะว่าจะไปถ่ายพลุกับน้องที่ร่วมทริปด้วยกัน แต่สุดท้ายไม่ไหวจริงๆ เนื่องจากหมดแรงข้าวต้มครับ ก็เลยขอตัวกลับไปก่อนดีกว่า ระหว่างทางเดินไปเพื่อขึ้นรถ Shuttle Bus กลับนี่เป็นอะไรที่ทรมานมาก แบบว่าเดินขาลากจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมของเรา “Disney’s Hollywood Hotel” หัวหน้าทัวร์พวกเราก็พามุ่งไปยังห้องอาหาร “Chef Mickey” โดยมื้อนี้จะเป็น dinner buffet แบบจัดเต็มมากๆ อาหารราคาก็สูงนิดนึง โดยราคาเริ่มต้นที่ HK$348 – คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม – ยังไงลองศึกษาเพิ่มเติมและก็พิจารณาดูนะครับ ส่วนตัวคิดว่าอาหารค่อนข้างดีเลย มีก้ามปูอลาสก้า (ใหญ่กว่าบ้านเรา) และก็อะไรที่น่าสนใจมากมาย “หมึกดำคอนเฟิร์มเองเลยครัช”


หลังจากหมดแรงกับการเดินทางแต่เช้า และช่วงเวลาเพลิดเพลินที่สวนสนุก วันเวลาที่แสนยาวนานก็ทำให้แทบสลบได้เหมือนกันครับ กินข้าวเสร็จแล้วก็แอบสอยของฝากให้ลูกกับคนที่บ้านตุนไว้ก่อนบางส่วนครับ แล้วยังไงเร็วๆ นี้เตรียมชม “วันที่สอง” ได้นะครับ กับชื่อตอนว่า “7 ดินแดนมหัศจรรย์”
สามารถ follow ที่ blog ของผมนี้เลย (ตรงแถบด้านขวามือครับ) หรือว่าติดตามผ่านแฟนเพจ http://www.facebook.com/oatenroute เพื่อไม่ให้พลาดตอนสำคัญต่อไปด้วยนะคร้าบ และสุดท้ายขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันจนจบเลยครับ
(พื้นที่โฆษณา) ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ :
FB : http://www.facebook.com/oatenroute
Instagram : http://www.instagram.com/oatenroute
เชิญชม Gallery แบบจัดเต็มขนาดได้เลยครับ
One thought on “Once Upon a Time at “Hong Kong Disneyland” ~ Day 01 : The Magical Parade”